สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) โดยสายงานสังคม กองยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคม (กมส.) ได้มีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ Social Forum วัยแรงงาน : การพัฒนาทักษะแรงงานในภาคบริการที่สำคัญของประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ณ ห้องเดจาวู ชั้น 2 โรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ กรุงเทพ
นายวิชญ์พิพล ติวะตันสกุล ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน ได้รับมอบหมายจากนางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธานกล่าวต้อนรับและเปิดการประชุม โดย สศช. อยู่ระหว่างการขับเคลื่อนแผนพัฒนาประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาว ปี 2565 – 2580 จึงได้จัดการประชุมเชิงเสวนาวิชาการ/การประชุมเชิงปฏิบัติการขึ้นในธีม NESDC Social Forum เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนแผนและสร้างความตระหนักต่อการพัฒนาประชากรในแต่ละกลุ่มวัย ซึ่งการประชุมในวันนี้มีเป้าหมายที่กลุ่มวัยแรงงาน และเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนของผู้เชี่ยวชาญในประเด็นเรื่องผลกระทบของแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ต่อแรงงานภาคบริการทั้งในภาคบริการดั้งเดิม (อาทิ ภาคการค้าปลีก/ค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค งานบริการที่พัก อาหาร) และภาคบริการสมัยใหม่ (อาทิ บริการทางการเงินและตลาดทุน และบริการข้อมูลข่าวสาร) อาทิ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ อีกทั้ง การประชุมในครั้งนี้ยังมุ่งเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนที่มีการดำเนินการในการพัฒนาทักษะแรงงานได้นำเสนอแนวทางการดำเนินการ การสร้างความร่วมมือกับภาครัฐ และข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับแนวทางการพัฒนาฝีมือแรงงานที่ดำเนินการโดยภาครัฐให้มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานมากยิ่งขึ้น
นางสาวมนต์ทิพย์ สัมพันธวงศ์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้นำเสนอสถานการณ์และบริบทที่สำคัญของภาคบริการของประเทศไทย ที่แสดงให้เห็นถึงภาพรวมของภาคบริการระดับโลกและของประเทศไทยที่มีสัดส่วนกว่าร้อยละ 60 ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อย่างไรก็ตาม ภาคบริการส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพาภาคบริการดั้งเดิม ซึ่งมีแรงงานกระจุกตัวอยู่จำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถเพิ่มผลิตภาพแรงงานให้สูงขึ้นได้มากนัก และแม้ภาคบริการของประเทศไทยจะมีขนาดใหญ่กว่าบางประเทศที่มีรายได้สูง อาทิ เกาหลีใต้ แต่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเศรษฐกิจได้น้อยกว่า เนื่องจากสัดส่วนมูลค่าบริการสมัยใหม่ (modern services) มีเพียงประมาณร้อยละ 14 ต่อ GDP นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอถึงบริบทการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อภาคบริการทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ได้แก่ (1) การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็ว (2) การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร (3) การเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์ และ (4) การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ อีกทั้ง ได้ชี้ถึงประเด็นที่ควรให้ความสำคัญในการเพิ่มผลิตภาพแรงงานในภาคบริการของประเทศไทยที่ครอบคลุมถึงการพัฒนาทักษะทั้งด้านเทคโนโลยีและทักษะเฉพาะ การเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
จากนั้นได้มีการเสวนาในหัวข้อ “งานบริการดั้งเดิม โอกาส และแนวทางการพัฒนาทักษะแรงงาน” โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิร่วมอภิปรายและแลกเปลี่ยนความเห็น ประกอบด้วย (1) นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรนันท์ ประธานสมาคมการค้ากลุ่มท่องเที่ยวสุขภาพ (2) ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย (3) ดร.นครินทร์ อมเรศ รองผู้อำนวยการ (ปฏิบัติงานพิเศษ) สายระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีนางสาวภัชชาร์ ภัทรเดชาธรรม ผู้ประกาศข่าว NBT เป็นผู้ดำเนินรายการเสวนา โดย ดร.นครินทร์ อมเรศ ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับทักษะแรงงานและผลกระทบของ AI โดยปัจจุบันแรงงานไทย 33 ล้านคนไม่ได้มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงาน โดยหากต้องการยกระดับผลิตภาพแรงงานและบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วต้องยกระดับแรงงานให้ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงานจำนวน 21 ล้านคน และไทยยังขาดแคลนแรงงานด้าน STEM อย่างไรก็ตาม พบว่า ยังคงมีโอกาสจากพฤติกรรมของคนไทยที่มีการใช้ AI เพื่อการศึกษามากที่สุด รวมทั้งความพร้อมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและฐานข้อมูลของภาครัฐ แต่ยังมีข้อจำกัดด้านความพร้อมของบุคลากรและความสมบูรณ์ของตลาดงานในการรองรับและใช้ประโยชน์จากกำลังคนด้าน AI โดยเฉพาะภาคธุรกิจ SME ซึ่งไม่เห็นถึงประโยชน์ของการพัฒนาทักษะด้าน AI ของแรงงานว่าจะช่วยในการเพิ่มมูลค่าให้แก่ธุรกิจได้อย่างไร ซึ่งภาครัฐต้องมีส่วนในการกำหนดกฎเกณฑ์ และการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ของภาครัฐ เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาในภาคธุรกิจ นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรนันท์ ได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกถึงผลกระทบของเทคโนโลยี AI ต่อธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม โดย AI มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนจากการจ้างพนักงาน อาทิ งานด้านการตลาดและการขาย รวมถึงการสำรองที่พัก อย่างไรก็ตาม แรงงานในบางตำแหน่งยังคงมีความสำคัญต่อธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม รวมถึงแนวโน้มตลาดการท่องเที่ยวยุคใหม่ที่คาดหวังคุณภาพบริการที่สูงขึ้น ซึ่งไม่สามารถใช้ AI มาแทนและถือเป็นจุดแข็งของแรงงานไทย อาทิ พนักงานต้อนรับ ซึ่งต้องอาศัยการบริการด้วยใจ และความเป็นมิตรในการบริการ (Human Touch) โดยปัจจุบันแรงงานไทยยังคงมีปัญหาเรื่องทักษะภาษาอังกฤษ และแรงงานระดับสูงเข้าสู่ธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมน้อย จึงจำเป็นต้องมีการจ้างงานแรงงานต่างชาติจำนวนมาก ซึ่งอาจไหลกลับประเทศในอนาคตเมื่อประเทศเหล่านั้นพัฒนา โดยเสนอแนะว่า ควรปรับปรุงกฎหมายแรงงานให้ยืดหยุ่นมากขึ้น อาทิ การสนับสนุนการทำงานรายชั่วโมงที่ได้มาตรฐาน เพื่อตอบโจทย์การทำงานแบบ Work life balance ของคนรุ่นใหม่ ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ ได้อธิบายโครงสร้างของธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง และปัญหาการพัฒนาทักษะแรงงาน โดยโครงสร้างกลุ่มธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง สามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ 1) Tier 1 กลุ่ม Modern Trade ขนาดใหญ่ เป็นบริษัททันสมัย มีการใช้เทคโนโลยีสูง และไม่มีปัญหาเรื่องทักษะแรงงาน 2) Tier 2 กลุ่ม Local modern trade ประมาณ 300 – 400 แห่ง มียอดขายต่อปีระดับพันล้านบาทขึ้นไป ซึ่งจะมีรูปแบบการปรับตัวตามกลุ่ม Tier 1 และเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตหลักในอนาคต และ 3) Tier 3 กลุ่มธุรกิจค้าปลีกรายเล็ก มีประมาณ 4 – 6 แสนราย โดยผู้ประกอบการในกลุ่มนี้มีปัญหาเรื่องการปรับตัวในการใช้เทคโนโลยีและการพัฒนาทักษะแรงงาน เนื่องจากกว่าร้อยละ 75 ของผู้ประกอบการกลุ่มนี้ เป็นผู้ประกอบธุรกิจในลักษณะอาชีพเสริม/งานอดิเรก ซึ่งหากภาครัฐจะเพิ่มผลิตภาพแรงงานในกลุ่ม Tier 3 ต้องหากลุ่มผู้ประกอบธุรกิจที่ประกอบธุรกิจดังกล่าวเป็นอาชีพหลัก (กลุ่มร้อยละ 25) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการพัฒนาทักษะแรงงาน และต้องมีการปรับปรุงกฎหมายให้สามารถรองรับการจ้างงานรายชั่วโมง โดยให้แรงงานที่มีนายจ้างมากกว่า 1 คน สามารถเข้าถึงหลักประกันทางสังคมได้ และต้องมีการกำหนดทิศทางอาชีพสงวนในอนาคต 20 ปีที่ชัดเจน (ทบทวนทุก 10 ปี) เพื่อเป็นกรอบในการพัฒนาคนให้สถาบันการศึกษาผลิตคนได้ตรงตามความต้องการ รวมถึงต้องมีการกำหนดคำนิยามกลุ่ม SME ใหม่ เพื่อให้การสนับสนุนของภาครัฐตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
หลังจากนั้นได้มีการเสวนาในหัวข้อ “งานบริการสมัยใหม่ การเปลี่ยนแปลง และทักษะที่ต้องการ เพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคต” โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิร่วมอภิปรายและแลกเปลี่ยนความเห็น ประกอบด้วย (1) นางสาวสิริพร สุขสงวน ผู้อำนวยการ Academy Innovation and Strategic Partnership, SCB Academy (2) นายวศิน เจิดนภาพันธ์ Head of Strategic Partnerships and Products, True Digital Academy (3) ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร Head of Digital Technology Academy Section บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จากัด (มหาชน) โดยมีนางสาวภัชชาร์ ภัทรเดชาธรรม ผู้ประกาศข่าว NBT เป็นผู้ดำเนินรายการเสวนา โดยนางสาวสิริพร สุขสงวน ได้นำเสนอเกี่ยวกับกลยุทธ์และการปรับตัวของธนาคารไทยพาณิชย์ในยุคดิจิทัล ซึ่งมีกลยุทธ์หลักคือ Digital bank with human touch โดยมีเป้าหมายในการผสมผสานบูรณาการทักษะดิจิทัลเข้ากับ Human skills เพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และสร้างประสบการณ์ที่ดี ซึ่งพนักงานทุกคนต้องพัฒนาทักษะพื้นฐานด้านเทคโนโลยีทั้ง AI Automation และ Data Analytics ขณะที่ในส่วนของ Human skills จะเน้นการพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ ความเห็นอกเห็นใจ การตอบโต้และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยระบบการพัฒนาทักษะพนักงานจะเปลี่ยนมาสู่การเรียนรู้ระหว่างการทำงาน (Learning in the flow of work) โดยใช้รูปแบบ Micro-credential ซึ่งมีคุณลักษณะ 3 ประการคือ 1) Specific เพื่อแยกย่อยทักษะให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น 2) Competency base เน้นการลงมือทำจริง และ 3) Verify ตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ/ผลลัพธ์ที่ได้ โดยสิ่งที่ต้องพัฒนาแรงงานเพิ่มเติมคือ Learning Agility ต้องมีวิธีการเรียนรู้และใช้เครื่องมือได้อย่างรวดเร็ว และ Life Long Learning พนักงานต้องมีทัศนคติที่พร้อมเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา นายวศิน เจิดนภาพันธ์ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจ้างงานแบบเน้นทักษะ (Skill Hiring) และความสำคัญของการรู้เท่าทัน AI การพัฒนาบุคลากรของ True มีการทำ Micro-credential และมีการพัฒนาทักษะ AI ที่คำนึงถึง AI Awareness Assessment เพื่อประเมินสถานะความรู้ด้าน AI ในมิติต่าง ๆ ของบุคคล รวมถึงเรื่องจริยธรรมในการใช้ AI โดยทักษะสำคัญที่จะทำให้แรงงานในยุคปัจจุบันอยู่รอดในตลาดงานได้ คือ Creative Thinking Critical Thinking และ Empathy รวมถึงทักษะการใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพในฐานะผู้ควบคุมการใช้ AI โดยต้องเป็นผู้วิเคราะห์ว่าจะใช้ข้อมูลหรือผลลัพธ์ของ AI อย่างไรให้ถูกต้อง ทั้งนี้ ได้นำเสนอถึงความท้าทายและข้อเสนอแนะในการพัฒนาทักษะแรงงานที่สำคัญคือ หลายบริษัทลงทุนด้าน AI สูง แต่แรงงานไม่มีทักษะในการใช้ AI ดังนั้น ต้องมีการส่งเสริมการพัฒนาทักษะด้าน AI ของแรงงานตั้งแต่ในสถาบันการศึกษา รวมถึงการพัฒนาทักษะแรงงานในหลักสูตรด้าน AI ที่มีคุณภาพ (Re/Up skill) ท้ายที่สุดนี้ ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร เน้นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ ความท้าทายด้านกำลังคน และการปฏิรูปนโยบาย ซึ่งประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด และกำลังแรงงานจะลดลงอย่างมาก ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียน และการพึ่งพาแรงงานราคาถูกไม่สามารถทำได้อีกต่อไป เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น การเข้าสู่ข้อตกลง DEFA (Digital Economy Framework Agreement) ทำให้คนไทยต้องพัฒนาทักษะเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ ขณะที่นโยบายการดึงดูดแรงงานทักษะสูงมีการแข่งขันอย่างรุนแรงและทำได้ยาก และยังเผชิญความท้าทายในการพัฒนาทักษะแรงงานไทย โดยเฉพาะกลุ่มคนอายุ 40 ปีขึ้นไป ไม่สามารถเรียนผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างเต็มศักยภาพ รวมทั้งผู้ประกอบการ SME จำนวนมาก ขาดพี่เลี้ยง/หุ้นส่วนในการพัฒนาธุรกิจจากการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการเพิ่มผลิตภาพ ดังนั้น ภาครัฐต้องมีนโยบายในการสร้าง “Trainer” ที่จะเข้าไปช่วยวิเคราะห์ธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะแรงงาน การมีมาตรการที่เข้าใจคนรุ่นใหม่ ปรับปรุงระเบียบและกฎหมายที่รองรับการเปลี่ยนแปลงของงานในอนาคต การพัฒนาทักษะแรงงานโดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน รวมทั้งการพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ อาทิ พัฒนาแพลตฟอร์มส่งเสริมการเรียนรู้โดยใช้ฐานข้อมูลรายบุคคลตั้งแต่เกิดจนตาย (Life cycle data) เพื่อวางแผนการพัฒนากำลังคนของประเทศตลอดช่วงชีวิตอย่างเป็นระบบและตอบสนองต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
ข่าว : กองยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคมภาพ : จักรพงศ์ สวภาพมงคล