เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมกับกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNFPA Thailand) HelpAge International และมูลนิธิพัฒนางานผู้สูงอายุ จัดงานเวทีแลกเปลี่ยนบทเรียนจากต่างประเทศเพื่อรับมือกับสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (International Policy Exchange on Super – Aged Society) ณ ห้องประชุมสยามฮอลล์ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท กรุงเทพฯ โดยการประชุมในครั้งนี้มุ่งแลกเปลี่ยนประสบการณ์และบทเรียนจากต่างประเทศที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดแล้ว เพื่อนำมากำหนดแนวทางในการเตรียมความพร้อมให้ไทยก้าวสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดอย่างมีคุณภาพ
นางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ของประเทศไทยที่เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์เมื่อปี 2567 และคาดว่าจะเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดในปี 2576 โดยมีประชากร 1 ใน 3 เป็นผู้สูงอายุ จากอัตราการเกิดที่ต่ำโดยจำนวนการเกิดน้อยกว่าการตายติดต่อกันเป็นปีที่ 4 สถานการณ์นี้เป็นความท้าทายต่อระบบสุขภาพ ความเพียงพอของกำลังแรงงาน และภาระทางการคลังที่เพิ่มขึ้น แต่อีกมุมมองหนึ่งก็เป็นโอกาสในการสร้างประโยชน์จากการเป็นสังคมสูงวัยเช่นกัน อาทิ การพัฒนาเศรษฐกิจสูงวัย ที่จะเป็นโอกาสการสร้างสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น และเป็นโอกาสของผู้สูงอายุที่จะเข้าไปมีส่วนในตลาดงานที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมได้ ดังนั้น ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีมุมมองใหม่ ๆ ที่อยู่บนฐานของความเข้าใจถึงบริบทการเปลี่ยนแปลงที่รอบด้าน
จากนั้น นางสาวสิริลักษณ์ เชียงว่อง หัวหน้าสำนักงาน UNFPA Thailand ได้กล่าวเน้นย้ำว่า การรับมือสังคมสูงวัยของไทยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยไม่เพียงมุ่งเน้นแต่กลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ต้องเตรียมประชากรวัยก่อนสูงอายุให้สามารถก้าวเข้าสู่การสูงวัยอย่างมีคุณภาพด้วย ทั้งด้านเศรษฐกิจสุขภาพ โดยเน้นแนวคิด demographic resilience หรือการพัฒนาประชากรที่ยืดหยุ่นและปรับตัวได้ รวมทั้งการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างช่วงวัย (intergenerational solidarity) เพื่อสร้างสังคมที่เกื้อกูลและมั่นคงอย่างยั่งยืน โดย UNFPA Thailand พร้อมสนับสนุนข้อมูลเชิงประจักษ์เพื่อใช้กำหนดนโยบาย ร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ เพื่อให้ประชากรทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย ได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และเป็นธรรม
นางสาวภัทรพร เล้าวงค์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนพัฒนาสังคม สศช. กล่าวบรรยายหัวข้อ “ก้าวต่อไปของไทยในยุค Super-Aged Society” โดยชี้ว่า การสูงวัยอย่างมีคุณภาพครอบคลุม 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ การมีเงินเพียงพอ การได้ทำงานที่เหมาะสมตามความต้องการ การมีสุขภาพที่ดี และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและมีความหมาย อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุไทยยังเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ทั้งรายได้และเงินออมไม่เพียงพอ การออกจากตลาดงานที่รวดเร็ว สุขภาพเสื่อมถอยจากโรคเรื้อรัง และเสี่ยงต่อภาวะโดดเดี่ยวจากแนวโน้มการอยู่ลำพังเพิ่มขึ้น โดยได้เน้นย้ำกว่า การรับมือสังคมสูงวัยระดับสุดยอดจะต้องปรับกระบวนทัศน์ใหม่ ๆ ทั้งความยั่งยืนของระบบประกันสังคมและสวัสดิการ ที่ต้องออกแบบรูปแบบการทำงานและการมีระบบประกันสังคมที่เหมาะสม การทบทวนแนวคิดอายุบำนาญ โดยมองที่ศักยภาพของบุคคลมากกว่าการกำหนดจุดตัดของอายุที่ตายตัว ความยั่งยืนของระบบสุขภาพควรเน้นการป้องกันและชะลอการเกิดโรค สร้างสภาพแวดล้อมและนโยบายที่สอดรับกับความต้องการของผู้สูงอายุ พร้อมสร้างสังคมที่ลดอคติทางด้านอายุ (Ageism) เพื่อให้ทุกวัยได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มศักยภาพและอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว
จากนั้นได้มีเวทีเสวนานโยบาย “บทเรียนการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดในต่างประเทศ” โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิจากประเทศต่าง ๆ ร่วมอภิปรายและแลกเปลี่ยนความเห็น โดย Dr. Reiko Hayashi, Director – General, National Institute of Population and Social Security Research (IPSS) กล่าวถึงความท้าทายของสังคมสูงวัยในญี่ปุ่นโดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุที่อยู่อาศัยคนเดียว โดยญี่ปุ่นมีวิวัฒนาการของนโยบาย ตั้งแต่มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในปี 1961 ไปจนถึงการจัดตั้งระบบประกันการดูแลระยะยาวในปี 2000 (Long Term Care Insurance : LTCI) ที่เน้นการสมทบจากทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น และผู้ประกันตนร่วมกัน ทั้งนี้ Dr. Reiko เน้นย้ำว่า ความสำเร็จของญี่ปุ่นไม่ได้อยู่ที่นโยบายเดียว แต่เกิดจากการปรับนโยบายอย่างต่อเนื่อง ตามข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ อีกทั้ง ยังมีข้อเสนอว่าประเทศไทยควรบูรณาการระบบสุขภาพ และปฏิรูประบบบำนาญให้ครอบคลุมและเท่าเทียม รวมถึงให้ความสำคัญกับสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว
Prof. CheolSung Park Dean, College of Economics and Finance Director Hanyang Institute for Population and Policy Research, Hanyang University กล่าวถึงความท้าทายของสังคมสูงวัยว่า ภายใน 30 ปีข้างหน้า เกาหลีใต้จะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปถึงครึ่งหนึ่งของประเทศ รัฐบาลจึงออกมาตรการรองรับ อาทิ การขยายอายุเกษียณ การจ้างงานผู้สูงอายุจากภาครัฐ ให้เงินอุดหนุนแก่บริษัทเอกชน การลดข้อจำกัดสัญญาจ้างและยกเว้นเงินสมทบประกันการว่างงาน อย่างไรก็ตาม ระบบบำนาญของเกาหลีใต้ที่ประกอบด้วยบำนาญพื้นฐานและบำนาญแห่งชาติยังเผชิญกับปัญหาความยั่งยืนและความเชื่อมั่นจากคนรุ่นใหม่ อีกทั้ง อัตราความยากจนในกลุ่มผู้สูงอายุยังสูง ทั้งนี้ Professor Park เสนอว่ามาตรการลดต้นทุนให้นายจ้างเป็นแนวทางการจ้างงานผู้สูงอายุที่มีประสิทธิภาพที่สุด พร้อมแนะนำให้ไทยเร่งปฏิรูประบบบำนาญ ระบบสุขภาพ และโครงสร้างค่าจ้าง รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นระหว่างรุ่นในการเตรียมพร้อมรับสังคมสูงวัย
Mr. Christopher Gee, Deputy Director (Research), Institute of Policy Studies, Lee Kuan Yew School of Public Policy, National University of Singapore กล่าวว่า การใช้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพกลาง (CPF) เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นคงให้ผู้สูงอายุ ทั้งการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย การดูแลสุขภาพ และการออมหลังเกษียณ อีกทั้ง มียุทธศาสตร์ชาติเพื่อสร้างความสำเร็จในการเข้าสู่วัยสูงอายุ (Success in Aging) ครอบคลุมทุกด้านของชีวิต ตั้งแต่การจ้างงาน การเรียนรู้ตลอดชีวิต สุขภาพ การมีส่วนร่วมทางสังคม ไปจนถึงการใช้ชีวิตในชุมชน โครงการ Age Well SG และศูนย์ Active Ageing Centres เป็นตัวอย่างสำคัญที่ช่วยให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตอย่างมีพลังในชุมชน โดยมีข้อเสนอกับไทยว่า การวางแผนและการจัดสรรเงินทุนอย่างรอบคอบเป็นกุญแจสำคัญและควรสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อสร้างแนวทางในการดูแลผู้สูงอายุให้สอดคล้องกัน
และ Mr. Eduardo Klein, Regional Director of HelpAge International, Asia Pacific Regional Office นำเสนอแนวคิดนวัตกรรมและสิทธิผู้สูงอายุ โดยเน้นการเปลี่ยนมุมมองผู้สูงอายุจากภาระสู่ผู้มีส่วนร่วม ส่งเสริมนวัตกรรมทางสังคมและเทคโนโลยี และการรับรองสิทธิผู้สูงอายุ โดยได้ยกตัวอย่างความสำเร็จในภูมิภาค อาทิ ชมรมช่วยเหลือตนเองระหว่างวัยในเวียดนามที่ต่อยอดจนกลายเป็นนโยบายระดับชาติ ทั้งนี้ ยังแนะนำให้ไทยเร่งวางนโยบายระยะยาว เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร โดยไม่ให้การเมืองระยะสั้นเข้ามาเป็นอุปสรรค
สุดท้ายนี้ ได้มีการจัดกิจกรรมห้องปฏิบัติการทางสังคมเพื่อระดมความคิดเห็นจากหลายภาคส่วน ครอบคลุม 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ (1) อนาคตของระบบการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุ โดยเสนอให้พัฒนาระบบการเงินและกองทุนที่ยั่งยืน ผ่านการร่วมจ่ายและมีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการดูแลระยะยาว ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีเพื่อติดตามสุขภาพเบื้องต้น รวมถึงการยกระดับศักยภาพและสร้างแรงจูงใจของผู้ดูแลผู้สูงอายุ และบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และท้องถิ่น เพื่อขับเคลื่อน community care model (2) เส้นทางการทำงานหลังเกษียณและระบบบำนาญที่ยืดหยุ่น โดยเห็นว่าผู้สูงอายุยังมีศักยภาพในการทำงานได้หลากหลาย ทั้งงานบริการ งานใช้ความเชี่ยวชาญ และงานจิตอาสา รัฐควรสนับสนุนการจ้างงานอย่างต่อเนื่องโดยคำนึงถึงความสามารถมากกว่าอายุ ส่งเสริมการ Upskill/Reskill และการ Re-employment รวมทั้งสนับสนุนการสร้างงานในชุมชน อีกทั้ง ควรสนับสนุนกลุ่มวัยก่อนสูงอายุ (pre-aging) ในการเป็นผู้ประกอบการและโอกาสในการทำอาชีพที่สอง ตลอดจนสนับสนุนให้ผู้ที่หลุดออกจากตลาดแรงงานเนื่องจากภาระในการดูแล (care work) ให้สามารถกลับเข้าสู่ระบบการทำงานได้ และ (3) การพัฒนาปัจจัยแวดล้อมเพื่อสูงวัยสุดยอดอย่างมีคุณภาพ มีข้อเสนอให้ผลักดันนวัตกรรมรูปแบบใหม่ อาทิ การปรับห้องว่างให้เป็นบ้านแบ่งปัน การพัฒนาบริการดิจิทัลที่ใช้งานง่ายและเข้าถึงได้ รวมถึงการสร้างอาชีพใหม่ที่เหมาะสม อาทิ มัคคุเทศก์สูงวัย อาชีพ “เพื่อนผู้สูงอายุ” ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้และเพิ่มคุณค่าทางใจควบคู่กัน นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและที่อยู่อาศัยตามหลัก Universal Design โดยภาครัฐควรมีสิทธิประโยชน์เพื่อสนับสนุนเอกชนในการปรับปรุงบ้าน รวมทั้งการจัดตั้ง Elderly Community Center ในชุมชน และศูนย์สองวัย เพื่อให้ผู้สูงอายุได้มีส่วนร่วมในการดูแลเด็กและทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งจะช่วยลดความโดดเดี่ยวและเสริมสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างรุ่นได้อย่างยั่งยืน
ข่าว : กองยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคมภาพ : เมฐติญา วงษ์ภักดี