เมื่อวันจันทร์ที่ 8 กันยายน 2568 คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ประธานคณะอนุกรรมการด้านทรัพยากรมนุษย์และความเหลื่อมล้ำทางสังคม สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ก้าวต่อไปในการปิดช่องว่างสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยเพื่อเสริมสร้างทุนมนุษย์ไทย” ณ ห้องบอลรูม ชั้น 12 โรงแรมวี กรุงเทพฯ โดยมี รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กรรมการด้านทรัพยากรมนุษย์และความเหลื่อมล้ำทางสังคม นางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หน่วยงานภาครัฐ อาทิ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กรมกิจการเด็กและเยาวชน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงบประมาณ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง อาทิ มูลนิธิเด็กน้อยพัฒนา มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ สถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 101 Public Policy Think tank และองค์การระหว่างประเทศ ได้แก่ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 60 คน เข้าร่วมแลกเปลี่ยนและหารือแนวทางในการปิดช่องว่างการพัฒนาสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
คุณหญิงกษมาฯ กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุม พร้อมทั้งนำเสนอภาพรวมการพัฒนาเด็กปฐมวัยของประเทศไทย โดยชี้ให้เห็นถึงปัญหาและประเด็นท้าทายที่ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะคุณภาพของเด็กปฐมวัยที่ยังคงมีเพียงร้อยละ 78 ที่มีพัฒนาการเป็นไปตามเกณฑ์ ซึ่งเป็นที่มาของการจัดประชุมครั้งนี้ เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาการพัฒนาเด็กปฐมวัยผ่านบทบาทของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
ต่อมา รศช.วรวรรณฯ ได้นำเสนอข้อมูลสถานการณ์และช่องว่างในการพัฒนาเด็กปฐมวัย พร้อมเน้นย้ำว่าการลงทุนเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างมีคุณภาพจะส่งต่อไปสู่ช่วงวัยอื่นเมื่อเติบโตขึ้น และถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาเด็กปฐมวัยผ่านยุทธศาสตร์และนโยบายต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การพัฒนาเด็กปฐมวัยของประเทศไทยกลับมีแนวโน้มถดถอยลง โดยกลไกสำคัญที่จะช่วยยกระดับคุณภาพการเรียนรู้และการเติบโตอย่างมีรากฐานที่มั่นคง คือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่เป็นแหล่งเรียนรู้และส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในทุกด้าน แต่สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยก็ยังประสบปัญหา อาทิ เกณฑ์อายุที่ยังไม่ครอบคลุมเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี การขาดแคลนบุคลากรทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ ดังนั้น การยกระดับสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยจึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างประชากรคุณภาพที่จะเป็นพลังหลักในการขับเคลื่อนประเทศในอนาคต
ในช่วงถัดมา เป็นการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง นำการแลกเปลี่ยนโดย คุณหญิงกษมาฯ และ รศ.นพ.สุริยเดวฯ ในประเด็นหารือที่สำคัญ ได้แก่ แนวทางการสนับสนุนการพัฒนาเด็ก 0 – 2 ปี ที่เหมาะสม การยกระดับคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย และปัจจัยสนับสนุน อาทิ ฐานข้อมูล การบูรณาการความร่วมมือ โดยที่ประชุมเห็นพ้องถึงความสำคัญของครอบครัวในการเป็นทางเลือกแรกในการดูแลเด็กปฐมวัยโดยเฉพาะในช่วงแรกคลอด ขณะเดียวกันก็ควรมีทางเลือกในการดูแลที่หลากหลายไปพร้อมกัน เพื่อให้สอดรับกับความต้องการและบริบทเฉพาะของแต่ละครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงดูโดยบ้านรับเลี้ยงเด็กในชุมชนใกล้บ้าน/บ้านย่ายาย การจัดบริการดูแลเด็กในสถานประกอบการ หรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ซึ่งที่ประชุมได้สะท้อนถึงประเด็นสำคัญที่ยังเป็นช่องว่างการดำเนินการที่ต้องเร่งแก้ไข อาทิ ด้านการดูแลเด็กอายุ 0 – 2 ปี ยังขาดระบบสนับสนุนการเลี้ยงดูบุตรของพ่อแม่ในช่วงแรกคลอดได้อย่างเพียงพอและมีคุณภาพ อาทิ สิทธิวันลา ระบบการพัฒนาทักษะพ่อแม่ ขาดแนวทางที่ชัดเจนในการสนับสนุนทรัพยากรให้กับสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยต่ำกว่า 2 ปี โดยเฉพาะใน อปท. ที่มีความต้องการแต่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณและทรัพยากร รวมถึงขาดระบบสนับสนุนบ้านรับเลี้ยงเด็กขนาดเล็กในชุมชนในการจัดบริการดูแล ที่จะช่วยตอบโจทย์พ่อแม่ที่เป็นแรงงานนอกระบบ รายได้น้อย หรือทำงานไม่เป็นเวลาได้ ด้านการยกระดับสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย 3 – 5 ปี ยังขาดประสิทธิภาพของระบบการผลิตและพัฒนาครูทั้งการเตรียมพร้อมในระดับมหาวิทยาลัยและการพัฒนาครูประจำการ (in-service training) โดยเฉพาะการฝึกปฏิบัติจริงที่ยังมีสัดส่วนน้อย ขณะที่ด้านปัจจัยสนับสนุน นโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยยังขาดความชัดเจน และขาดเจ้าภาพในการบูรณาการการขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างจริงจัง ตลอดจนขาดฐานข้อมูลเด็กปฐมวัยที่เชื่อมโยงอย่างเป็นองค์รวม ทั้งด้านพัฒนาการเรียนรู้ ด้านสุขภาพ และด้านสวัสดิการ
โดยที่ประชุมได้ยกตัวอย่างแนวปฏิบัติที่ดี (best practice) ในการพัฒนาเด็กปฐมวัย ของทั้งไทยและต่างประเทศ อาทิ การสนับสนุนระบบบ้านรับเลี้ยงเด็กในชุมชน หรือบ้านย่ายาย ผ่านความร่วมมือกับการเคหะแห่งชาติ และชุมชนในการจัดสรรพื้นที่และการบริหารจัดการ การพัฒนาทักษะครูและผู้ดูแลเด็กในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยผ่านการ coaching และการฝึกปฏิบัติจริง ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัย (ICAP) ของมูลนิธิยุวพัฒน์ ขณะที่ในต่างประเทศรัฐอุดหนุนค่าใช้จ่ายการเลี้ยงดูเด็กที่มีการให้บริการโดยภาคเอกชนและกำหนดโครงสร้างเงินเดือนครูปฐมวัยในระดับสูงของประเทศญี่ปุ่น การพัฒนาหลักสูตรการผลิตครูปฐมวัยที่เน้นฝึกปฏิบัติและครอบคลุมการดูแลเด็กตั้งแต่แรกเกิดของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว การส่งเสริมสิทธิของพ่อแม่ในฐานะแรงงาน ผ่านการให้สิทธิวันลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรที่เพียงพอสำหรับการดูแลบุตรอย่างมีคุณภาพของกลุ่มประเทศยุโรป ตลอดจนนวัตกรรมด้านการบริหารโครงการสังคมที่เน้นผลลัพธ์ ผ่านเครื่องมือ Social Impact Bond ซึ่งรัฐบาลจ่ายค่าตอบแทนแก่ผู้ลงทุนเอกชนที่จัดหาบริการสังคมแทนภาครัฐ เมื่อโครงการบรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนด (Pay for Success) ของสหราชอาณาจักร
ทั้งนี้ มีข้อเสนอแนะในการปิดช่องว่างสำคัญด้านการดูแลและพัฒนาเด็กปฐมวัย อาทิ การพัฒนาทักษะพ่อแม่และผู้ปกครองผ่านโปรแกรมการเลี้ยงดูบุตร (parenting programme) ซึ่งอาจกำหนดให้เป็นเงื่อนไขในการรับสวัสดิการต่าง ๆ เช่น เงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษแบบมีเงื่อนไข (ทุนเสมอภาค) การพัฒนากลไกเชื่อมโยงและสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยบริการกับพ่อแม่ผู้ปกครอง เช่น โรงเรียนพ่อแม่ การใช้กลไกชุมชน เช่น อสม. และ อสส. ในการคัดกรอง ดูแล และติดตามเด็กปฐมวัย การพัฒนา Super Menu รวบรวมโมเดลการดำเนินงานและหลักสูตรการเรียนรู้รูปแบบต่าง ๆ ให้สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแต่ละรูปแบบเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมและบริบทของพื้นที่ การพัฒนาครูและผู้ดูแลเด็กผ่านกลไกของมหาวิทยาลัยในแต่ละพื้นที่ พร้อมการสนับสนุนทางวิชาการผ่านการจัดให้มีศึกษานิเทศก์ด้านการดูแลและพัฒนาเด็กปฐมวัยระดับจังหวัด การพัฒนาระบบสนับสนุนบ้านรับเลี้ยงเด็กขนาดเล็กในชุมชนให้มีคุณภาพและความยั่งยืนทางการเงิน การพัฒนาระบบงบประมาณที่มุ่งเน้นการพัฒนาครูปฐมวัยในเชิงปฏิบัติ การขยายสิทธิวันลาคลอดและวันลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร การปรับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ อปท. สามารถดำเนินงานด้านการพัฒนาเด็กปฐมวัยได้อย่างยืดหยุ่นโดยเฉพาะด้านงบประมาณ รวมถึงการใช้เครื่องมือ Social Impact Bond เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนจัดบริการสาธารณะด้านเด็กปฐมวัยอย่างมีประสิทธิภาพ และการประเมินผลกระทบอย่างเป็นระบบและสะท้อนคุณภาพของเด็กปฐมวัยได้อย่างแท้จริง ตลอดจนการพัฒนาระบบฐานข้อมูลเด็กปฐมวัย ที่เชื่อมโยงข้อมูลด้านต่าง ๆ เพื่อให้บริการข้อมูลแก่ประชาชนในรูปแบบ One Stop Service ได้
ในช่วงสุดท้าย รศ.นพ.สุริยเดวฯ ได้เน้นย้ำถึงประเด็นสำคัญที่จะต้องเร่งพัฒนา โดยเฉพาะการเชื่อมโยงระบบการพัฒนากำลังคนในการพัฒนาเด็กปฐมวัยกับระบบ E-workforce Ecosystem และการพัฒนาเด็กที่สอดคล้องกับสภาพครอบครัวที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน เช่น พ่อแม่วัยรุ่น พ่อแม่ LGBTQ+ และ รศช.วรวรรณฯ ได้เพิ่มเติมประเด็นการปรับปรุงการประเมินประสิทธิภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (Local Performance Assessment : LPA) ให้ครอบคลุมมิติการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ เพื่อให้ผู้นำท้องถิ่นมีการดำเนินการเรื่องดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ และกล่าวถึงแนวทางการขับเคลื่อนระยะต่อไป โดย สศช. จะนำข้อมูลที่ได้จากการประชุมไปสังเคราะห์เพื่อให้ได้เป็นประเด็นคานงัดที่สำคัญในการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และเพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 ต่อไป ท้ายสุด คุณหญิงกษมาฯ ได้กล่าวปิดเวทีการประชุมเชิงปฏิบัติการ โดยเน้นย้ำว่าการประชุมในวันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความร่วมมือในการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่จะดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและนำไปสู่การขยายผลในวงกว้าง อันจะเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาทุนมนุษย์ของประเทศในอนาคตต่อไป
ข่าว: กองยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคมภาพ: เมฐติญา วงษ์ภักดี