Accessibility

Accessibility Options

ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สู่การก่อตั้ง “ธนาคารสมอง”

เมื่อวันที่  14 พฤศจิกายน 2568 ดร.ปรเมธี  วิมลศิริ ในฐานะประธานมูลนิธิพัฒนาไท อดีตเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่งคงของมนุษย์  ให้สัมภาษณ์และบันทึกวีดีทัศน์ ให้กับสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) ในหัวข้อด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สู่การก่อตั้ง “ธนาคารสมอง” ณ อาคารสุริยานุวัตร สศช. ทั้งนี้ เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

โดยมีสาระสำคัญในการให้สัมภาษณ์และบันทึกวีดีทัศน์ ดังนี้ (1) ความเป็นมาในการก่อตั้ง “ธนาคารสมอง” ว่า ก่อตั้งขึ้นตามพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2543 ให้ประเทศไทยมีพื้นที่สำหรับคนวัยเกษียณที่ยังมีใจอยากพัฒนาประเทศ โดยใช้ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ที่ตัวเองมี โดยมีชื่อว่า ธนาคารสมอง ที่มีวุฒิอาสาธนาคารสมอง เป็นคลังความรู้และปัญญาที่มีคุณค่า พร้อมนำออกมาใช้ประโยชน์เพื่อบ้านเมืองสร้างความรู้ต่อมาคณะรัฐมนตรีดำเนินการสนองพระราชดำรัสดังกล่าว โดยมีมติเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2543 โดยให้ สศช. ทำหน้าที่เป็นหน่วยทะเบียนกลาง รวบรวมข้อมูล และจัดทำทะเบียนสมาชิกวุฒิอาสาฯ ตามความเชี่ยวชาญ รวมทั้งเชื่อมโยงเครือข่ายการทำงานให้กับวุฒิอาสาธนาคารสมองกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ  และมีมูลนิธิพัฒนาไท (มพท.) ทำหน้าที่สนับสนุนการขับเคลื่อนงานของวุฒิอาสาฯ และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานวุฒิอาสาฯ สู่สาธารณะ   (2) วุฒิอาสาธนาคารสมอง คือ ผู้ที่เกษียณอายุแล้วจากภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และผู้ที่สมัครใจจากภาคส่วนอื่น ๆ ตลอดจนผู้ทรงภูมิปัญญาจากท้องถิ่น โดยเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ มีสุขภาพดี มีความพร้อมมาเป็นส่วนหนึ่งในการนำความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของตนมาช่วยพัฒนาประเทศ สังคม ชุมชน และขับเคลื่อนงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบปัจเจกบุคคล และรวมกลุ่มเป็นเครือข่ายการดำเนินงาน ตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา งานธนาคารสมอง มีผู้ที่สนใจสมัครเข้าเป็นวุฒิอาสาฯ จำนวนทั้งสิ้น  7,933 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2568) กระจายตัวอยู่ทั่วทุกภูมิภาค ใน 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร โดยปัจจุบันมีวุฒิอาสาฯ ที่มีการขับเคลื่อนงานต่อเนื่อง จำนวน 2,794 คน และ (3) ผลการดำเนินงานของวุฒิอาสาฯ ได้ดำเนินกิจกรรม/โครงการที่เป็นประโยชน์แก่สังคมมากมาย ทั้งการเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือตามคำขอแก่หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน เป็นผู้สร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกันเชิงรุก และเป็นภาคีร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไปสู่การปฏิบัติ โดยมีผลลัพธ์การดำเนินงานที่โดดเด่น แบ่งเป็น ๒ ระดับ ได้แก่ ระดับนโยบาย อาทิ การสร้างความร่วมมือด้านสาธารณสุขกับต่างประเทศ โดย วุฒิอาสาฯ กรุงเทพฯ การแก้ไขปัญหาช้างป่าภาคตะวันออก โดย วุฒิอาสาฯ และเครือข่ายการทำงานภาคตะวันออกและระดับพื้นที่ ที่ดำเนินงานครอบคลุมมิติการพัฒนาทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านการส่งเสริมอาชีพ รายได้ และพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก (2) ด้านการพัฒนาทักษะ ความสามารถ และส่งเสริมศักยภาพมนุษย์ (3) ด้านการส่งเสริมสุขอนามัย และสุขภาวะที่ดี (4) ด้านการอนุรักษ์ และฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม (5) ด้านการอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ (6) ด้านการพัฒนาเพื่อเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ โดยมีผลลัพธ์การดำเนินงานที่โดดเด่น อาทิ กลุ่มอนุรักษ์หม่อนไหมไทย (หัตถกรรม) บ้านหินกลาง  จังหวัดบุรีรัมย์ “ศูนย์การเรียนรู้ชีววิถีวัดโตนด” จังหวัดนนทบุรี “กลุ่มสุขภาพ ความปลอดภัยของอาหารและโภชนาการเด็ก” และ “ชมรมศิษย์เก่าโขนวัดกก” กรุงเทพมหานคร ศิลปะการแทงหยวกกล้วยจังหวัดอ่างทอง ฝายมีชีวิต จังหวัดนครศรีธรรมราช “บ้านทุ่งโต๊ะหย๊ะ – ชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเอง ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” จังหวัดพัทลุง  และ (4)  ก้าวต่อไปของธนาคารสมอง  มุ่งส่งเสริมให้วุฒิอาสาฯ มีการทำงานที่สอดคล้องกับแผนการพัฒนาประเทศโดย (1) ส่งเสริมการจัดการความรู้และประชาสัมพันธ์ผลงานที่ประสบความสำเร็จของวุฒิอาสาฯ ให้เป็น Best Practice ที่สร้างการปรับเปลี่ยนมุมมองและทัศนคติของสังคมต่อการเห็นคุณค่าของผู้สูงอายุ (2) เปิดพื้นที่ให้วุฒิอาสาฯ ได้รวมกลุ่ม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเชื่อมโยงเครือข่ายการทำงานร่วมกัน ทั้งในระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และ (3) พัฒนาศักยภาพและทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานของผู้สูงอายุ อาทิ ความรอบรู้ทางด้านสุขภาพ ความรอบรู้ทางด้านการเงิน และทักษะการเอาตัวรอดในภาวะวิกฤตฉุกเฉิน เพื่อส่งเสริมวุฒิอาสาฯ ให้มีศักยภาพ สามารถเป็น“ผู้นำการพัฒนา” และเป็นกลไกหลัก ในการประสานความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งในระดับพื้นที่และระดับนโยบาย โดยวุฒิอาสาฯ จะเป็น “พลังทางสังคม” ที่สามารถสร้างและเชื่อมโยงเครือข่ายการทำงานที่ช่วยการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ได้ด้วยตนเอง

นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้ นายวิชญ์พิพล  ติวะตันสกุล ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินงานของวุฒิอาสาฯ กับการพัฒนาประเทศ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ (1) สถานการณ์และการรับมือกับสังคมสูงของไทย ในส่วนของการพัฒนาประเทศ ได้ให้ความสำคัญในการส่งเสริมศักยภาพของผู้สูงอายุ ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยเฉพาะแผนแม่บทฯ ประเด็นที่ 15 พลังทางสังคม (แผนย่อยการรองรับสังคมสูงวัยเชิงรุก) สศช. มุ่งส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการดึงพลังและศักยภาพของผู้สูงอายุมาใช้ในการพัฒนาสังคม โดยส่งเสริมให้ผู้สูงอายุเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ และภูมิปัญญาที่สั่งสมมาให้กับคนรุ่นหลัง และมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม (2) วุฒิอาสาฯ กับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา วุฒิอาสาฯ เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ในระดับพื้นที่ โดยเป็นทั้งแกนนำการพัฒนาและผู้ถ่ายทอดสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาต่าง ๆ ให้ชุมชน นอกจากนี้ ในการจัดทำแผนพัฒนาฯ วุฒิอาสาฯ เป็นภาคประชาสังคมที่สำคัญในการสะท้อนปัญหา และเสนอแนะแนวทางแก้ไข เพื่อใช้ในการกำหนดนโยบายและแผนพัฒนาในระดับต่าง ๆ (3) การดำเนินงานของ “ธนาคารสมอง” เกิดจากสายพระเนตรอันยาวไกลของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในขณะที่โลกยังมิได้เข้าสู่สังคมสูงวัย พระองค์ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญและคุณค่าของผู้เกษียณอายุ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ทรงเปิดโอกาสให้ผู้เกษียณอายุที่ยังมีความรู้ความสามารถ และมีจิตอาสามาร่วมเป็นพลังของแผ่นดิน เพื่อพัฒนาประเทศชาติ และสร้างความอยู่ดีมีสุขให้แก่ประชาชน ซึ่งในระยะเวลาที่ผ่านมา “วุฒิอาสาธนาคารสมอง” ได้พิสูจน์ให้ประจักษ์แล้วว่า พระราชดำรัสในครั้งนั้นมีคุณูปการต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง ด้วยพลังของวุฒิอาสาฯ ทั่วประเทศ ได้อุทิศแรงกายแรงใจ นำความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสังคม ประเทศชาติ และประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มูลนิธิพัฒนาไทและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะยังคงสานต่อพระราชปณิธานสืบไป นับเป็นพระเกียรติคุณที่ยิ่งใหญ่ที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย และประเทศชาติ อย่างหาที่สุดมิได้

ข่าว: ทีมธนาคารสมอง กองยุทธศาสตร์การพัฒนาความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางสังคม (กสท.)
ภาพ : เมฐติญา วงษ์ภักดี