เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “ก้าวสู่ทศวรรษใหม่ของระบบความคุ้มครองทางสังคมไทย : จากความท้าทายสู่ความยั่งยืน” ณ ห้องเมฆา บอลรูม ชั้น C โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุรวงศ์ กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้แทนจากองค์การระหว่างประเทศ ภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคประชาสังคม/ชุมชน ร่วมนำเสนอมุมมองต่อระบบความคุ้มครองทางสังคมของไทย และผู้เข้าร่วมประชุมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 100 คน เข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อการพัฒนาระบบความคุ้มครองทางสังคมในอนาคต
นางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายต่อความยั่งยืนของระบบความคุ้มครองทางสังคมไทยที่สำคัญ ได้แก่ 1) การเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด โดยคาดว่าในปี 2576 จะมีประชากรสูงอายุถึงร้อยละ 28 ซึ่งส่งผลต่อภาระค่าใช้จ่ายบํานาญและการรักษาพยาบาล 2) ความยั่งยืนทางการคลัง ที่ยังคงต้องพึ่งพางบประมาณจากภาครัฐเป็นหลัก และ 3) การขาดการบูรณาการข้อมูลผู้รับประโยชน์ ซึ่งอาจทําให้เกิดความซ้ำซ้อนและเกิดการตกหล่นในกลุ่มเปราะบาง ดังนั้น จึงต้องทบทวนและออกแบบระบบเพื่อให้สิทธิประโยชน์ไปถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์สำคัญของการจัดประชุมครั้งนี้
ต่อจากนั้น นางสุพัณณดา เลาหชัย ผู้อำนวยการกองพัฒนาข้อมูลและตัวชี้วัดสังคม ได้นำเสนอแนวโน้มระบบความคุ้มครองทางสังคมของไทยจากการวิเคราะห์ข้อมูลงบประมาณด้านสังคม (Social Budgeting) พบว่า งบประมาณด้านสังคมของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งด้านรายรับและรายจ่ายโดยส่วนต่างระหว่างรายรับและรายจ่ายมีแนวโน้มลดลง เพราะรายรับของงบประมาณด้านสังคมเพิ่มขึ้นช้ากว่ารายจ่าย นอกจากนี้ ยังพบว่า ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการเป็นแหล่งเงินทุนของการจัดระบบความคุ้มครองทางสังคมทั้งหมด อีกทั้ง ระบบบำเหน็จบำนาญแบบร่วมจ่ายมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
จากนั้นเป็นการเสวนาช่วงแรก ก้าวสู่ทศวรรษใหม่ของระบบความคุ้มครองทางสังคมไทย : จากความท้าทายสู่ความยั่งยืน จากมุมมองของผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ ภาควิชาการ และภาครัฐ ดำเนินการเสวนาโดยนางสาวณาตยา แวววีรคุปต์ ผู้อำนวยการศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส โดยมีรายละเอียด ดังนี้
นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย สะท้อนให้เห็นความท้าทายเชิงโครงสร้างหลายด้าน อาทิ การเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วแต่การออมไม่เพียงพอ แรงงานขาดทักษะที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจสมัยใหม่ รวมถึงข้อจำกัดด้านงบประมาณ โดยการพัฒนาระบบสวัสดิการควรให้ความสำคัญกับความครอบคลุมของประชากร ความพอเพียง และคุณภาพ ภายใต้หลักคิดการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข พอเพียง เลี้ยงตัวได้ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หุ้นส่วนสวัสดิการผ่านการสนับสนุนให้ภาคส่วนอื่นเข้ามามีส่วนร่วม ความยั่งยืนทางการเงินการคลัง และประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพื่อลดความซ้ำซ้อนของการจัดสวัสดิการ ต่อจากนั้น นายขวัญพัฒน์ สุทธิธรรมกิจ เจ้าหน้าที่อาวุโส ธนาคารโลก (World Bank) เสนอว่า 1) สวัสดิการควรยึดโยงกับตัวบุคคลเป็นหลักมากกว่าการผูกติดกับสถานะการทำงาน 2) ขอบเขตของ Social Budgeting ควรรวมมาตรการชดเชยเกษตรกร การเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติ และการอุดหนุนด้านพลังงาน 3) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital Public Infrastructure) โดยต้องมีการพัฒนาและยกระดับระบบ Digital ID และ Digital Payment ให้ครอบคลุมและถูกต้องแม่นยำเพื่อต่อยอดไปสู่การแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยงาน (Data Sharing) ได้อย่างสะดวก รวดเร็วและปลอดภัย ซึ่งประเทศอินเดียเป็นตัวอย่างสำคัญที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล 4) การสร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดย่อมหรือเศรษฐกิจนอกระบบ (Informal Sector) เข้าสู่ระบบภาษีได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว เพื่อขยายฐานภาษีและสร้างรายได้สำหรับการจัดสวัสดิการ 5) การเชื่อมโยงระบบบำเหน็จบำนาญระหว่างระบบต่าง ๆ (Scheme) เข้าด้วยกัน โดยการใช้รูปแบบ Tapered Pension System 6) การปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไปพร้อมกับการกำหนดรูปแบบการจัดสรรสวัสดิการจากเงินส่วนเพิ่มไปสู่กลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และ 7) การจ่ายสิทธิประโยชน์การว่างงานที่ดำเนินการควบคู่กับการพัฒนาทักษะใหม่ หลังจากนั้น นายปัณณ์ อนันอภิบุตร ผู้อำนวยการกองนโยบายภาษี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ชี้ให้เห็นความเสี่ยงทางการคลังที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากรายได้ที่ภาครัฐจัดเก็บได้มีแนวโน้มลดลง ภาระรายจ่ายของภาครัฐที่เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะรายจ่ายที่ยากต่อการลดทอน เช่น รายจ่ายชำระดอกเบี้ย สวัสดิการข้าราชการ เงินเดือนข้าราชการ เป็นต้น ทำให้ขาดความยืดหยุ่นในการจัดสรรงบประมาณสำหรับการลงทุนในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP พร้อมทั้งเสนอทางเลือกเพื่อสร้างระบบการคุ้มครองทางสังคมที่ยั่งยืน โดยการเพิ่มรายได้ภาครัฐ และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดผลลัพธ์สูงสุดผ่านการกำหนดกลุ่มเป้าหมายและกำหนดเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือ เช่น ระบบ Negative Income Tax (NIT) ที่ให้ประชาชนทุกคนยื่นแบบภาษี และผู้มีรายได้น้อยจะได้รับเงินคืนตามเกณฑ์ที่กำหนด ทั้งนี้ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการจัดทำ Data Lake เพื่อรวบรวมข้อมูลที่กระจัดกระจายมาไว้ที่เดียว และช่วยให้สามารถออกแบบนโยบายที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนแต่ละกลุ่มได้อย่างแม่นยำ (Tailor-Made Policy)
ในช่วงที่สอง เป็นการเสวนาจากผู้แทนท้องถิ่นและภาคประชาสังคม/ชุมชน โดยนายพงษ์ศักดิ์ พรศักดา ประธานกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลหนองเหล็ก อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม ได้แลกเปลี่ยนความสำเร็จของการจัดสวัสดิการสังคมระดับตำบลผ่านสวัสดิการชุมชนออมวันละ 1 บาท ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2543 เพื่อสร้างหลักประกันทางสังคมให้คนในพื้นที่ที่ส่วนใหญ่เป็นครัวเรือนเกษตรกร โดยให้การช่วยเหลือ ดูแล และสนับสนุนสวัสดิการขั้นพื้นฐานแบบขั้นบันได ทั้งนี้ แหล่งรายได้หลักมาจากเงินสมทบของสมาชิก งบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญคือ ปัญหาสังคมสูงวัยที่ทำให้มีแนวโน้มที่จะต้องจ่ายเงินอุดหนุนการเจ็บป่วยและเสียชีวิตในอัตราที่สูงขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อสถานะการเงินของกองทุนในระยะยาว ขณะที่นางปริญดา เอียสกุล ผู้อำนวยการสำนักสวัสดิการสังคม เทศบาลนครขอนแก่น จ.ขอนแก่น นำเสนอโครงการคนขอนแก่นไม่ทอดทิ้งกัน เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มเปราะบางในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ยากจนด้อยโอกาส ให้สามารถเข้าถึงโอกาสและพึ่งตนเองได้ ซึ่งได้รับงบประมาณจากเทศบาลนครขอนแก่นอย่างต่อเนื่องทุกปี และการสนับสนุนจากภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในพื้นที่ เช่น โครงการอิ่มท้องอุ่นใจกับครัวชุมชน การซ่อมแซมที่อยู่อาศัย เป็นต้น ทั้งนี้ ได้เสนอว่า การสร้างแรงจูงใจเพื่อดึงดูดให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการในอนาคตเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับการสร้างความยั่งยืน รวมถึงการกระจายอำนาจและงบประมาณเพื่อสร้างความคล่องตัวในการขับเคลื่อนโครงการ
หลังจากนั้นผู้เข้าร่วมประชุมได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการพัฒนาระบบความคุ้มครองทางสังคมของไทยอย่างหลากหลายและสามารถนำไปต่อยอดสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญ เช่น แนวคิดสปริงบอร์ดหรือการคุ้มครองทางสังคมที่ช่วยให้ประชาชนสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้เมื่อเผชิญกับปัญหาแทนแนวคิดในการสร้างโครงข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Social Safety Net) การบูรณาการและเชื่อมโยงระบบความคุ้มครองทางสังคมรูปแบบต่าง ๆ การพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อการลงทุนระยะยาว การเตรียมความพร้อมด้านนโยบายภายใต้วิกฤตหลากมิติ (Polycrisis) การสนับสนุนภาคประชาสังคมในการจัดการคุ้มครองทางสังคมโดยเฉพาะในระดับพื้นที่ชุมชน เป็นต้น
และในช่วงสุดท้าย รศช.วรวรรณ ฯ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญในการพัฒนาระบบความคุ้มครองทางสังคมของไทยให้ยั่งยืน ผ่านการลงทุนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์บนฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงได้อย่างเป็นระบบ และปรับกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคเพื่อช่วยให้สามารถออกแบบนโยบายที่มีประสิทธิภาพได้
ข่าว : กองพัฒนาข้อมูลและตัวชี้วัดสังคมภาพ : เมฐติญา วงษ์ภักดี