สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดประชุมการระดมความคิดเห็นผลการศึกษาสถานการณ์และบทบาทภาครัฐในการถือครองที่ดินเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อนำเสนอผลการศึกษา เรื่อง การศึกษาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินในประเทศไทย และรับฟังข้อคิดเห็น รวมถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคม ตลอดจนภาคีเครือข่ายต่าง ๆ อาทิ กรมที่ดิน กรมธนารักษ์ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ศาสตราจารย์ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดวงมณี เลาวกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาวิน ศิริประภานุกูล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ณัฐวุฒิ อัศวโกวิทวงศ์ และศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุรวงศ์ กรุงเทพมหานคร
โดยนางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการประชุม และชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดิน ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ และนำไปสู่การเกิดความไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรและเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงข้อจำกัดของการศึกษาประเด็นดังกล่าวในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่มีงานศึกษาที่สำคัญจำนวนน้อยมากในประเทศไทย เช่น งานศึกษา เรื่อง “การกระจุกตัวของความมั่งคั่งในสังคมไทย” ในปี 2556 ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ดวงมณี เลาวกุล พร้อมนี้ ได้กล่าวขอบคุณกรมที่ดินและกรมธนารักษ์ ที่ให้ความอนุเคราะห์ข้อมูลซึ่งเป็นส่วนสำคัญยิ่งสำหรับการศึกษาในครั้งนี้ ทำให้ผลการศึกษาในครั้งนี้มีความน่าเชื่อถือ
การประชุมเริ่มด้วยการนำเสนอผลการศึกษาและข้อค้นพบจากการศึกษาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินในประเทศไทย โดยนายมนตรี ภูศรีโสม และนางสาวณัฐวรรณ ชูเฉลิม นักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการ กองพัฒนาข้อมูลและตัวชี้วัดสังคม โดยมีขอบเขตการศึกษาเฉพาะการถือครองโฉนดที่ดิน น.ส. 3 ก. และ น.ส. 3 ทั้งที่ถือโดยบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ซึ่งครอบคลุมขนาดพื้นที่ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมดในประเทศไทย ผลการศึกษา พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคของการถือครองโฉนดที่ดินมีความเหลื่อมล้ำสูงสุด (Gini อยู่ที่ 0.7298) รองลงมาคือ น.ส. 3 ก. และ น.ส. 3 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงมาก และหากเทียบกับความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ ในปี 2566 อยู่ที่ 0.417 สูงกว่าเกือบสองเท่า ขณะที่หากพิจารณาจากขนาดของที่ดิน กลุ่ม Decile 10 (ถือครองมากที่สุด) มีส่วนแบ่งการถือครองที่ดินสูงกว่ากลุ่ม Decile 1 (ถือครองน้อยที่สุด) อยู่ที่ 710 เท่า และหากพิจารณาจากมูลค่าการถือครองที่ดิน กลุ่ม Decile 10 สูงกว่า Decile 1 อยู่ที่ 348 เท่า
ทั้งนี้ กลุ่ม Top 1% มีส่วนแบ่งการถือครองที่วัดจากขนาดที่ดินสูงถึงร้อยละ 16.78 ของโฉนดที่ดินทั้งหมดในประเทศไทย และมีส่วนแบ่งการถือครองที่วัดจากมูลค่าสูงถึงร้อยละ 34.91 หากวิเคราะห์ในเชิงพื้นที่ ปริมณฑลและภาคตะวันออกมีความเหลื่อมล้ำการถือครองโฉนดที่ดินสูงสุด ส่วนเอกสารสิทธิประเภท น.ส. 3 ก. และ น.ส. 3 ภาคตะวันตกและภาคกลางมีความเหลื่อมล้ำสูงสุด ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังพบว่า นิติบุคคลมีการกระจุกตัวของการถือครองมากกว่าบุคคลธรรมดาทั้งด้านขนาดพื้นที่และมูลค่า โดยเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น ภูเก็ต สมุทรปราการ ชลบุรี สำหรับข้อค้นพบสำคัญ พบว่า (1) การลงทุนข้ามถิ่น คนกรุงเทพฯ เข้าไปถือครองที่ดินในจังหวัดอื่น ๆ (ไม่รวม กรุงเทพฯ) สูงถึงร้อยละ 5 ของพื้นที่ประเทศไทย และจังหวัดที่คนนิยมไปลงทุนซื้อที่ดิน 3 จังหวัดแรก ได้แก่ ปทุมธานี นครนายก และสมุทรปราการ (2) คนกลุ่ม Top 1% ถือครองที่ดินค่อนข้างสูง โดยมีที่ดินเฉพาะโฉนดที่ดินเฉลี่ย 81 ไร่ต่อคน และมูลค่าเฉลี่ย 35 ล้านบาทต่อคน และ (3) รูปแบบการถือครองที่ดินของคนกลุ่ม Top 1% มักถือครองที่ดินในจังหวัดที่อยู่ติดกับจังหวัดที่ตนเองอาศัยอยู่เป็นหลัก และจะลดจำนวนลงเมื่อที่ดินอยู่ห่างจากจังหวัดที่ตนเองอาศัย ยกเว้นในพื้นที่เศรษฐกิจหรือเมืองใหญ่บางแห่งที่คน Top1% มักไปซื้อที่ดินเก็บไว้เพื่อสะสมทุน
จากนั้นได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นแนวทางการวิเคราะห์และการขยายผลการศึกษาในอนาคต อาทิ (1) การวิเคราะห์ลักษณะทางสังคมของผู้ถือครองที่ดิน ได้แก่ ความสามารถในการถือครอง (รายได้เฉลี่ย วิธีการได้มาของที่ดิน ฯลฯ) วัตถุประสงค์การถือครองเพื่อการอยู่อาศัยหรือการประกอบอาชีพ และช่วงอายุ (หรือ Generation) ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการถือครองที่ดิน (2) การวิเคราะห์เชื่อมโยงกับ “แผนที่ภาษี” ซึ่งจะทำให้เห็นภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินรวมถึงอาคารและสิ่งปลูกสร้างในแต่ละพื้นที่ และ (3) การขยายขอบเขตการศึกษาให้ครอบคลุมประชากรกลุ่มที่ไม่มีที่ดิน ตลอดจนที่ดินประเภทอื่น ๆ ซึ่งอาจรวมถึงการเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐ
นอกจากนี้ ยังมีการให้ข้อเสนอแนะในเรื่องการจัดทำนโยบายเพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงที่ดินของประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยควรมุ่งเน้นการปรับปรุงมาตรการภาครัฐให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ทั้งในชนบทและในเขตเมือง อาทิ (1) การเข้าถึงการใช้ประโยชน์ที่ดินของเอกชนที่มีความยืดหยุ่นและตอบสนองกับความต้องการของประชาชนผ่านภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เหมาะสม โดยภาครัฐสามารถใช้มาตรการทางภาษีเพื่อดึงดูดให้เอกชนจัดสรรพื้นที่ให้ผู้มีรายได้น้อยได้เข้าใช้ประโยชน์ และนำไปใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีได้ (2) แนวคิดในการใช้ประโยชน์ที่ดินในแนวตั้ง โดยเฉพาะในเขตเมือง เช่น มาตรการจูงใจเจ้าของอาคารสูงให้จัดสรรพื้นที่ส่วนหนึ่งของอาคารเป็นศูนย์อาหารราคาประหยัดสำหรับผู้มีรายได้น้อยเพื่อแลกกับการลดหย่อนภาษี (3) การเข้าถึงการใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐ ผ่านการกำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขการใช้ประโยชน์ที่ชัดเจน ซึ่งเป็นการผ่อนคลายข้อจำกัดและอนุญาตให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่ได้ใช้ในงานราชการได้ และ (4) การสนับสนุนแนวทางการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐแบบกลุ่ม สหกรณ์ หรือชุมชน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างความเป็นธรรมและโอกาสที่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงที่ดินและทรัพยากรของประเทศได้อย่างยั่งยืน
ข่าว : กองพัฒนาข้อมูลและตัวชี้วัดสังคมภาพ : จักรพงศ์ สวภาพมงคล