Accessibility

Accessibility Options

สศช. จัดงานเสวนา “รู้ลึก วัดชัด eMENSCR+ สร้างคานงัดจากข้อมูล”

       • ดร.วันฉัตร สุวรรณกิตติ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เป็นประธานกล่าวเปิดงานเสวนาเปิดตัวระบบ eMENSCR+ (อีเมนซ์พลัส) เมื่อวันจันทร์ ที่ 15 กันยายน 2568 ณ ห้องประชุมบอลรูม 38 โรงแรมพูลแมน กรุงเทพฯ จี โดยมีผู้เข้าร่วมงานจากภาคส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกว่า 223 คน รวมทั้งผู้เข้าร่วมรับชมทางออนไลน์มากกว่า 4000 ครั้ง ผ่านทาง Facebook และ YouTube โดยงานเสวนามีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดตัวระบบ eMENSCR+ และรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากผู้เข้าร่วมงาน เพื่อนำไปพัฒนาระบบให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างดีที่สุด ซึ่งระบบ eMENSCR+ เป็นแพลตฟอร์มที่นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยยกระดับระบบ eMENSCR ปัจจุบันให้สามารถวางแผน ติดตาม และประเมินผลการพัฒนาประเทศให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติให้มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับผู้ใช้ได้มากยิ่งขึ้น

ในช่วงเช้าของงานได้มีการจัดเสวนาเป็น 2 ช่วง มีรายละเอียดดังนี้

ช่วงแรก เป็นการเสวนาในประเด็น “ศักยภาพของระบบ eMENSCR+” และ “การใช้ประโยชน์ข้อมูลของระบบ eMENSCR+ และระบบ TPMAP” โดย รศ.ดร.ธนพล เพ็ญรัตน์ ที่ปรึกษาผู้พัฒนาระบบ eMENSCR+ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และ นายชัยภูมิ ศิริพันธ์พรชนะ ที่ปรึกษาผู้พัฒนาระบบ TPMAP จาก บริษัท บิ๊กโก อนาไลติกส์ จำกัด 

       • ศักยภาพของระบบ eMENSCR+ เป็นการพัฒนาระบบเพื่อลดปัญหาและก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมที่มีในอดีต อาทิ ลักษณะการออกแบบที่ยังไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้งานเท่าที่ควร ภาระการนำเข้าข้อมูลที่ซ้ำซ้อน ข้อจำกัดในการนำข้อมูลในระบบไปใช้ประโยชน์ โดยได้พัฒนาระบบด้วยการออกแบบที่ยึดผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง (User-Centric Design) ที่มีการเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลอื่น ๆ เพื่อลดการกรอกข้อมูลซ้ำซ้อน มีการใช้ AI เป็นผู้ช่วยในการนำเข้าและเติมเต็มข้อมูลให้มีความสมบูรณ์ ตลอดจนการพัฒนา Dashboard ที่ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจให้กับผู้ใช้งานระบบในแต่ละกลุ่มได้เต็มศักยภาพภาพมากยิ่งขึ้น

       • ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (Thai People Map and Analytics Platform : TPMAP) ได้มีการพัฒนาระบบให้สามารถประมวลผลได้อย่างชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญได้มีการพัฒนา Dashboard รูปแบบใหม่ที่สามารถแสดงผลในลักษณะ Snapshot ที่ช่วยชี้ให้เห็นปัญหาความยากจนและความต้องการการพัฒนาของแต่ละช่วงวัยได้อย่างแม่นยำ ตั้งแต่ระดับบุคคล ครัวเรือน ชุมชน ท้องถิ่น/ท้องที่ จังหวัด ประเทศ ตลอดจนรายประเด็นเฉพาะ

       • การผนึกกำลังของสองระบบนี้จะช่วยให้โครงการต่าง ๆ ของภาครัฐถูกส่งตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย eMENSCR+ เปรียบเสมือน Supply ที่รวบรวมข้อมูลโครงการ/การดำเนินงานของภาครัฐ และระบบ TPMAP ที่เป็น Demand ซึ่งชี้เป้าความต้องการของประชาชน ทำให้สามารถตอบคำถามสำคัญได้ว่า “คนจนอยู่ที่ไหน ต้องการอะไร และจะช่วยให้พ้นความยากจนได้อย่างไร”

        ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การใช้ประโยชน์จากทั้งสองระบบเกิดขึ้นได้จริง ประกอบด้วย 1) Use case ต้องชัด หน่วยงานจำเป็นต้องกำหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ของการใช้งานให้ชัดเจน เพื่อให้แน่ใจว่ามีข้อมูลใดที่จำเป็นต้องใช้งานบ้าง 2) มุ่งเน้นการบูรณาการข้อมูลระหว่างกัน เพราะข้อมูลที่เก็บไว้ใช้เพียงชุดเดียวอาจไม่ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด 3) ความต่อเนื่องของข้อมูล จำเป็นต้องมีการออกแบบระบบให้รองรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืน 4) ให้ความสำคัญกับ “คน” โดยมุ่งเน้นการเพิ่มความสามารถให้กับผู้ใช้งานระบบ และที่สำคัญคือต้องมีมุมมองว่า “ระบบ คือ เครื่องมือที่ช่วยลดภาระคน” ระบบจะยั่งยืนไม่ได้หากคนขาดแรงจูงใจและไม่เห็นประโยชน์ในการใช้งาน

ช่วงที่สอง เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับความคาดหวังในอนาคตที่มีต่อระบบ eMENSCR+ ในการช่วยพัฒนาประเทศ โดย รศ.ดร. สรรพวรรธน์ กันตะบุตร อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร ที่ปรึกษาศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (Nectec) โดยมี ดร.วันฉัตร สุวรรณกิตติ รองเลขาธิการ สศช. เป็นผู้ดำเนินการเสวนา

      • การนำเทคโนโลยีนวัตกรรมมาใช้ในการปฏิรูประบบราชการ ที่ปัจจุบันเทคโนโลยี Generative AI มีความสามารถอย่างมากในกระบวนการทำงานด้านนโยบายสาธารณะ ทำให้การทำงานเป็นการทำงานแบบ Data Driven และ Evidence Based Planning มากขึ้น อาทิ การทำแผนระดับชาติที่ AI ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างแผนแต่ละระดับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยุทธศาสตร์ชาติ แผนระดับที่ 2 และแผนระดับที่ 3 ตลอดจนข้อมูลตัวชี้วัดอื่น ๆ ในระดับสากล ตลอดจนชี้ให้เห็นถึงข้อสังเกตและข้อเสนอแนะได้อย่างแม่นยำ
 
      • การนำ Quantum Computing มาประยุกต์ใช้ในภาคส่วนต่าง ๆ ของประเทศไทย รวมทั้งในภาคราชการ โดย Quantum Computing ถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีที่จะมาเปลี่ยนโลก โดยอาศัยหลักการของฟิสิกส์ควอนตัมที่สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลพร้อมกันได้ ซึ่งมีศักยภาพในการนำมาประยุกต์ใช้ในหลายมิติ อาทิ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน (Optimization Problems) การวางแผนและคาดการณ์อนาคตโดยจำลองสถานการณ์ (Scenario Simulation) ได้นับล้านรูปแบบพร้อมกัน ทำให้สามารถเห็นผลกระทบของนโยบายในอีก 20 ปีข้างหน้าได้ภายใน 1 วัน ทั้งนี้ Quantum Computing ก็มาพร้อมกับความท้าทายและผลเสียที่น่ากังวลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ การทำลายระบบการเข้ารหัสที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นหัวใจของความปลอดภัยในธุรกรรมทางการเงิน
การยืนยันตัวตนดิจิทัล และการเก็บข้อมูลลับของภาครัฐ ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจะต้องเตรียมพร้อมในเรื่องนี้ทันที โดยลำดับแรกต้องมีการสร้างความตระหนักให้กับคนทั่วไป และเริ่มพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจเฉพาะทางซึ่งปัจจุบันยังมีอยู่น้อยมาก นอกจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและมีข้อมูลลับ เช่น หน่วยงานทางทหาร ควรเริ่มเปลี่ยนวิธีการเข้ารหัสข้อมูลเป็นรูปแบบใหม่ที่ทนทานต่อการโจมตีจากควอนตัมเพื่อป้องกันภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในช่วง 5 -10 ปีข้างหน้า สำหรับหน่วยงานทั่วไปสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ผ่านระบบคลาวด์ได้ โดยอนาคตอาจต้องมีหน่วยงานกลางของภาครัฐหรือมหาวิทยาลัยเป็นผู้ให้บริการ เพื่อลดความซ้ำซ้อนและภาระงบประมาณ ทั้งนี้ สำหรับทีมผู้พัฒนาระบบ eMENSCR+ ควรเริ่มศึกษาและวางแผนการปรับเปลี่ยนระบบให้รองรับการเข้ามาของ Quantum Computing ไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ระบบมีความปลอดภัยและพร้อมรองรับเทคโนโลยีในอนาคต
 
      ในช่วงบ่ายของงานได้มีการแบ่งกลุ่มผู้เข้าร่วมงานตามภารกิจ เพื่อสาธิตระบบ eMENSCR+ ในแต่ละส่วน รวมทั้งรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากผู้เข้าร่วมงาน เพื่อนำไปพัฒนาระบบให้ตอบโจทย์ความต้องการ และมีกิจกรรมแจกของรางวัลให้กับผู้มีส่วนร่วมภายในงาน
 
      ทั้งนี้ สำหรับเอกสารที่ใช้ประกอบการเสวนา ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดได้ที่ https://www.nesdc.go.th/nscr/seminar-emenscr
 

ข่าว : กองยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ (กยป.)

ภาพ : นายจักรพงศ์ สวภาพมงคล