เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยสายงานสังคม ได้จัดงาน NESDC Social Forum 2023: Together We Thrive ณ โรงภาพยนตร์ ลิโด้ 1 สยามสแควร์ เพื่อสร้างความตระหนักถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสำคัญของโลกที่จะส่งผลกระทบต่อสังคมไทยในอนาคต และจุดประกายความคิดให้เกิดการร่วมแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนสังคมร่วมกัน โดยมีบุคคลจากหลายภาคส่วน ทั้งผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ องค์กรระหว่างประเทศ ผู้ทรงคุณวุฒิ เครือข่ายเยาวชน และบุคคลทั่วไป ให้ความสนใจเข้าร่วมทั้งในสถานที่จัดงาน และในระบบออนไลน์ มากกว่า 200 ท่าน
ภายในงานฯ ได้รับเกียรติจาก ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยมี นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และนางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำเสนอในหัวข้อ “ฉากทัศน์สังคมไทยในอนาคต” โดยได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสำคัญในบริบทโลก ได้แก่ 1) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (Technological change) 2) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) 3) การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากร (Demographic change) 4) การกลายเป็นเมือง (Urbanization) และ 5) ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่ส่งผลกระทบให้เกิดความเสี่ยงต่อสังคมไทย ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นโอกาส และเปลี่ยนโฉมหน้าของสังคมไทยในอนาคต ซึ่งได้ฉายภาพฉากทัศน์สังคมที่ “อยู่เย็น อยู่เป็น และอยู่สุข” ผ่านการจำลองจาก ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) โดยเป็นสังคมที่อยู่เย็น ผ่านการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาโลกร้อนและมลภาวะทางอากาศ เป็นสังคมที่อยู่เป็น ผ่านการประเมินสถานการณ์ท่ามกลางพลวัตทางภูมิรัฐศาสตร์ที่แปรปรวน และใช้ soft power เป็นพลังหนุน รวมถึงการปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง และสภาพของเมืองที่เปลี่ยนไป และสุดท้ายสังคมที่อยู่สุข ผ่านความเข้าใจความแตกต่างหลากหลายทางสังคม เพื่อนำไปสู่สังคมที่เราเติบโตไปด้วยกัน Together We Thrive อย่างแท้จริง
โดยตลอดทั้งงานฯ วิทยากรได้มีการนำเสนอเรื่องราวในลักษณะ TED talk ใน 4 ประเด็นสำคัญ สรุปได้ดังนี้ “เทคโนโลยีสมัยใหม่ : เปลี่ยนยังไง ไปให้ทัน” โดย นางสาวอัยย์ทัชชา พลศรีเลิศ หรือจ๋า ลดา จากเพจ Ladies of Digital Age (LDA) กล่าวว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนั้นเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ และได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์ในหลาย ๆ ด้าน อาทิ การซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น หรือการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านแอพพลิเคชันแทนการเข้ารับบริการที่สาขาธนาคาร อย่างไรก็ดี นางสาวอัยย์ทัชชา เน้นย้ำว่าการก้าวกระโดดของเทคโนโลยีนั้นอาจเป็นดาบสองคมที่มีทั้งประโยชน์ ดังเห็นได้จากการขยายช่องทางธุรกิจด้วยระบบออนไลน์ การเรียน การทำงาน และการรับบริการทางการแพทย์ผ่านช่องทางออนไลน์ในสภาวะวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของโควิด – 19 หรือการอำนวยความสะดวกจากเทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะและอินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Things) แต่ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน โดยเฉพาะการโจรกรรมทางไซเบอร์ ทั้งนี้ นางสาวอัยย์ทัชชา ได้เสนอว่าการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีดังกล่าว ควรเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนทัศนคติให้พร้อมเปิดรับและเรียนรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้าใจประโยชน์และโทษ พัฒนาทักษะของตนให้เท่าทัน ควบคู่ไปกับการสร้างสังคมแห่งการแลกเปลี่ยนความรู้ทางเทคโนโลยีให้กับผู้คนทุกกลุ่มวัย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
“เปิดกว้างหลากหลาย เริ่ดได้ไม่สลวน” โดย นายพิชฌ์พสุภัทร วงศ์อำไพ และนายบุญรอด อารีย์วงษ์ หรือ ภูเขา และบุญรอด จากช่อง Poocao Channel ได้แบ่งปันประสบการณ์ในฐานะผู้มีความหลากหลายทางเพศ และฐานะผู้พิการ ที่ต้องเผชิญกับการกดทับที่มีความซับซ้อนในหลายมิติ อาทิ การถูกกีดกันการเข้าศึกษาจากการเป็นผู้พิการ หรือการถูกกลั่นแกล้งล้อเลียน (Bullying) จากการเป็นบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือแม้กระทั่งการถูกเลือกปฏิบัติจากกลุ่มคนผู้มีความหลากหลายด้วยกันเอง เนื่องจากการมีรูปลักษณ์ไม่ตรงกับ ‘มาตรฐานความงาม’ ที่สังคมได้กำหนดไว้ ซึ่งนำไปสู่การถูกผลักไปสู่การเป็นคนชายขอบที่ไกลขึ้นไปอีก ซึ่งปัญหาดังกล่าวยังอาจส่งผลให้เกิดปัญหาทางจิตใจของผู้ถูกกระทำในระยะยาวจนกลายเป็นภาวะซึมเศร้าและการตัดสินใจฆ่าตัวตายในท้ายที่สุดอีกด้วย อย่างไรก็ดี ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยป้องกันและบรรเทาปัญหาดังกล่าวได้ดีที่สุด คือ การเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจในความหลากหลาย (Empathy) ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว สถานศึกษา และสังคม ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้สามารถสร้างได้จากความร่วมมือจากทุกภาคส่วน อาทิ การสร้างสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาที่โอบรับความหลากหลาย หรือการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการยอมรับความหลากหลายจากสื่อมวลชน เพื่อให้สังคมเป็นสังคมที่น่าอยู่สำหรับทุกคน
“อัปเวลสูงวัยไปด้วยกัน” โดย นายประสาน อิงคนันท์ จากเพจมนุษย์ต่างวัย เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมตั้งแต่ก่อนเกษียณ การปรับเปลี่ยนทัศนคติ (Mindset) และการสร้างความเข้าใจระหว่างคนต่างวัย เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพร่วมกัน โดยนายประสานสะท้อนให้เห็นว่าสังคมสูงวัยไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราอีกต่อไป อีกทั้งสังคมอายุยืนจะกลายเป็น disruption ใหม่ ทั้งการเกิดขึ้นของธุรกิจและบริการใหม่ ๆ และการขยายระยะเวลาทำงานของผู้สูงวัย ที่อาจส่งผลกระทบต่อการลดลงของผลิตภาพแรงงานและการแย่งชิงงานกับคนวัยทำงาน แต่อีกนัยหนึ่งอาจหมายถึงการมีทรัพยากรมนุษย์ที่สามารถแบ่งปันเป็นองค์ความรู้และประสบการณ์ที่มากขึ้น ทั้งนี้ การอัปเวลสูงวัยสามารถทำได้โดยการให้ความสำคัญกับการมีสุขภาพที่ดีและการมีงานทำ ที่นอกจากจะสร้างรายได้แล้วยังเป็นการสร้างคุณค่าในชีวิต นอกจากนี้ นายประสานได้ยกตัวอย่างผู้สูงวัยที่สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับทั้งคนในวัยเดียวกันและต่างวัย อาทิ ลุงสง่า เจ้าของชวนชมราคาหลักล้านที่เป็นตัวอย่างของการใฝ่เรียนใฝ่รู้ อาม่า เจ้าของร้านข้าวกล่องอาม่า ที่เป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างคนรุ่นอาม่าและรุ่นหลาน รวมถึงป้าบุญศรี เจ้าของเหนียวห่อกล้วยยายศรี ที่ทำธุรกิจเล็ก ๆ ในครัวเรือนเพื่อแก้เหงาขยายสู่การรวมกลุ่มธุรกิจในชุมชน ซึ่งตัวอย่างดังกล่าวล้วนแสดงให้เห็นว่าวัยไม่ใช่ข้อจำกัดของการเรียนรู้ และสะท้อนถึงการมีทัศนคติเชิงบวกของตัวผู้สูงวัยเองและคนต่างวัยในการก้าวไปสู่สังคมสูงวัยที่มีคุณภาพร่วมกันอย่างเข้าใจ ทั้งนี้ นายประสานได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่าสุดท้ายแล้ววัยไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ หากแต่การมองทุกคนเป็นคนเหมือนกันด้วยความเข้าอกเข้าใจต่างหากที่จะทำให้สังคมไทยเดินหน้าต่อไปได้
“ช่วยกันพาย คนละไม้คนละมือ” โดย นายสิทธิพล ชูประจง จากมูลนิธิกระจกเงา ได้สะท้อนประสบการณ์การทำงานของมูลนิธิฯ ในฐานะองค์กรพัฒนาเอกชนที่เปรียบเสมือน system integrator ที่พยายามเชื่อมโยงปัญหา ประสานงาน และคิดค้นการแก้ไขปัญหาสังคมด้วยนวัตกรรม โดยกล่าวว่าปัญหาคนไร้สัญชาติ ปัญหาคนหาย ปัญหาคนไร้บ้าน ปัญหาการค้ามนุษย์ และปัญหาการจัดสวัสดิการสังคมนั้นเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน และจากสถิติที่ผ่านมาอาการจิตเวชและสมองเสื่อมเป็นสาเหตุหลักของการหายตัว ซึ่งมูลนิธิฯ ได้ทำงานร่วมกับบุคคลและหน่วยงานภายนอกอย่างหลากหลายเพื่อออกแบบนวัตกรรมการแก้ไขปัญหาดังกล่าว อาทิ โครงการผู้ป่วยข้างถนน เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเร่ร่อนเข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาลและกลับสู่บ้าน โดยร่วมมือกับโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาและกระทรวงมหาดไทย เพื่อตามหาอัตลักษณ์บุคคลผ่านลายนิ้วมือ แคมเปญ “คนหายหน้าเหมือน” เพื่อให้คนทั่วไปจำหน้าคนหายได้ง่ายขึ้น โดยอ้างอิงจากใบหน้าของคนใกล้ตัว โครงการซักผ้าฟรีให้กับคนไร้บ้าน ร่วมกับร้าน Otteri โครงการจ้างวานข้า เพื่อจ้างงานคนไร้บ้านให้มีรายได้ในการดำรงชีวิต ทั้งนี้ นายสิทธิพลยังกล่าวอีกว่า NGOs ในไทยนั้นประสบกับความท้าทาย ทั้งรูปแบบการทำงานและทุนการดำเนินงานที่ไม่ต่อเนื่อง ซึ่งมูลนิธิฯ พยายามพัฒนารูปแบบธุรกิจของตนเองเพื่อสร้างความยั่งยืนทางการเงินให้กับตัวองค์กรยิ่งขึ้น เพื่อสามารถเป็นส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาสังคมได้ต่อไป
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถรับชมกิจกรรมต่าง ๆ NESDC Social Forum 2023: Together We Thrive ย้อนหลังได้ทาง Facebook ของสภาพัฒน์