สศช. ร่วมกับ UNFPA จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการประเมินผลสำหรับแผนงานความร่วมมือระหว่างประเทศ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2565 – 2569) ของกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย
เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 สศช. ร่วมกับกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNFPA Thailand) จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการประเมินผล (Evaluation Reference Group: ERG) สำหรับแผนงานความร่วมมือระหว่างประเทศ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2565 – 2569) (12th UNFPA Country Programme 2022 – 2026) ของกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย ณ ห้องประชุมเดช สนิทวงศ์ สศช. โดยมี นางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ ดร.จูลิตา โอนาบันโจ ผู้อำนวยการ กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย เป็นประธานร่วมในการประชุม (cochair) โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม จำนวน 28 คน อาทิ นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นางจตุพร โรจนพานิช รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นางสาวแคทรียา ปทุมรส รองอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ นางหทัยชนก ชินอุปราวัฒน์ ผู้อำนวยการกองสถิติพยากรณ์ สำนักงานสถิติแห่งชาติ นางสาวสิริลักษณ์ เชียงว่อง หัวหน้าสำนักงานกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ ผู้แทนจากมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี นางสาวสายสุนีย์ จ๊ะนะ นักกีฬาพาราวีลแชร์ฟันดาบทีมชาติไทย และคณะทำงานจากสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย
ดร.จูลิตา โอนาบันโจ ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการประชุมในครั้งนี้ เพื่อกำหนดแนวทางการประเมินผลแผนงานความร่วมมือระหว่างประเทศ ฉบับที่ 12 ของ UNFPA ประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมถึงการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานที่ผ่านมา รวมถึงการวิเคราะห์อุปสรรคและข้อท้าทายที่ต้องเผชิญ เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เป็นรูปธรรม ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้เพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรไทย และสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) โดยเน้นย้ำถึงหลักการ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” (Leave No One Behind) ตลอดจนนำไปสู่การจัดทำแผนงานความร่วมมือระหว่างประเทศในระยะถัดไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นางสาวสิริลักษณ์ เชียงว่อง กล่าวถึง แผนงานความร่วมมือระหว่างประเทศ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2565 – 2569) ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรอบความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (UNSDCF) และแผนยุทธศาสตร์องค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN Women Strategic Plan) โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพประชากรตลอดช่วงชีวิต ตามแนวทางวงจรชีวิต (lifecycle approach) ซึ่งแผนงานฯ มีผลผลิต (output) 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1) การเข้าถึงอนามัยการเจริญพันธุ์และการวางแผนครอบครัว เพื่อให้ทุกการตั้งครรภ์เกิดขึ้นจากความต้องการ มีความพร้อมและมีความปลอดภัย ลดอัตราการเสียชีวิตของมารดา รวมถึงเรื่องการเสริมสร้างศักยภาพของเด็กและเยาวชน 2) การยุติความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ (gender-based violence) รวมถึงการขจัดการปฏิบัติที่เป็นอันตราย อาทิ การบังคับแต่งงาน การแต่งงานในวัยเด็ก 3) การจัดทำข้อมูลเชิงวิชาการและความรู้ทางประชากร เพื่อสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวของในการกำหนดนโยบายระดับประเทศ
การประเมินแผนงานความร่วมมือระหว่างประเทศ (Country Programme Evaluation : CPE) ใช้ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง (theory of change) เป็นแนวทางหลักในการวิเคราะห์ หลักการและเหตุผลของโครงการ ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ความก้าวหน้า ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการ โดยการประเมินใช้ชุดคำถามสำหรับการประเมิน (Evaluation Questions : EQs) ที่สะท้อนให้เห็นถึงประเด็นสำคัญ อาทิ บทบาทภารกิจของ UNFPA ประเทศไทย การบูรณาการที่ครอบคลุมประเด็นสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาคทางเพศ และการมีส่วนร่วมของคนพิการ ทั้งนี้ ชุดคำถามจะสอดรับกับเกณฑ์การประเมินขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD/DAC) ที่ประกอบด้วย 1) ความสอดคล้อง (relevance) การตอบโจทย์ความต้องการของโครงการและประเทศ 2) ความสอดประสาน (coherence) มีความเชื่อมโยงการดำเนินการร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3) ประสิทธิผล (effectiveness) การบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ 4) ประสิทธิภาพ (efficiency) ความคุ้มค่าในการใช้เวลาและทรัพยากร 5) ผลกระทบ (impact) ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโครงการ และ 6) ความยั่งยืน (sustainability) ผลลัพธ์ของโครงการสามารถดำเนินการต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นว่า ควรนำข้อค้นพบและช่องว่างที่ได้จากการประเมินระยะกลาง (mid-term review) มาต่อยอดในการประเมินครั้งนี้ รวมถึงเสนอให้มีการใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงข้อมูลการประเมินได้อย่างสะดวกและมีความเข้าใจที่ตรงกันมากขึ้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ให้ความคิดเห็น เกี่ยวกับความสำคัญของบทบาทของครอบครัวในการดูแลเด็กและเยาวชน ที่ในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงทางสังคมทำให้ผู้ปกครองต้องทุ่มเทเวลาให้กับการทำงานมากขึ้น ส่งผลให้เด็กไม่ได้รับการดูแลจากผู้ปกครองอย่างเพียงพอ อีกทั้ง ควรให้ความสำคัญกับผลกระทบทางเทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์ ที่แม้ว่าจะสร้างประโยชน์ในด้านการศึกษาเรียนรู้ แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกเป็นช่องทางที่สร้างความเสี่ยงใหม่ ๆ อาทิ การใช้เป็นช่องทางการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงการส่งเสริมบทบาทของชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลเด็กและเยาวชนมากขึ้น โดยชี้ให้เห็นว่า ครอบครัวและชุมชนที่เข้มแข็งจะสามารถช่วยลดปัญหาทางสังคมและป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้
หลังจากนี้ UNFPA ประเทศไทย จะมีการจัดประชุมในครั้งถัดไป เพื่อระดมความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholder) และจะนำประเด็นที่ได้จากการประชุมในครั้งนี้ มาเป็นแนวทางในการพิจารณาชุดคำถามสำหรับการประเมิน การกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน รวมถึงการวางแนวทางในการเก็บข้อมูลอย่างรอบด้าน เพื่อให้ผลการประเมินสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างสูงสุด ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการจัดทำแผนงานฯ ในระยะถัดไปให้มีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สามารถสร้างผลกระทบกับประเทศได้อย่างยั่งยืน
ข่าว: กองยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคมภาพ: จักรพงศ์ สวภาพมงคล