Accessibility

Accessibility Options

สศช. ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีสนทนาเชิงนโยบาย (Policy Dialogue) ระบบสนับสนุนเด็กและครอบครัวระดับพื้นที่ บนฐานแนวคิดชุมชนนำ (community-led approach)

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2567 นางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธานในการจัดเวทีสนทนาเชิงนโยบายระบบสนับสนุนเด็กและครอบครัวระดับพื้นที่ บนฐานแนวคิดชุมชนนำ (community-led approach) จัดขึ้นโดย สศช. ร่วมกับสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว ณ ห้องประชุมกินรี 1 โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ โดยมีนางสาวณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักอาวุโส สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว (สำนัก 4) และผู้แทนภาครัฐ อาทิ ผู้อำนวยการส่งเสริมสถาบันครอบครัว ผู้อำนวยการกองคุ้มครองเด็กและเยาวชน ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ พร้อมด้วยคณะทำงานในระดับพื้นที่ อาทิ ฝ่ายสวัสดิการสังคม เทศบาลตำบลศรีถ้อย จังหวัดพะเยา บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดลำปาง สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเลย ศูนย์เรียนรู้เพื่อครอบครัวเข้มแข็งจังหวัดกาฬสินธุ์ สภาหอการค้าไทย (YEC) จังหวัดนครนายก เข้าร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานการขับเคลื่อนงานพัฒนาเด็กและครอบครัวระดับพื้นที่ บนฐานแนวคิดชุมชนนำ (community-led approach)

รศช.วรวรรณฯ สะท้อนความท้าทายด้านเด็กเกิดน้อย และปัญหาด้านคุณภาพของเด็ก ที่ยังมีปัญหาสำคัญทั้งด้านการศึกษาและสุขภาพ ซึ่งจากดัชนีความยากจนหลายมิติในกลุ่มเด็ก (Child MPI) ที่จัดทำโดย สศช. พบว่า เด็กแรกเกิด – 4 ปี มีปัญหาด้านการศึกษาสูงสุด (ร้อยละ 62.9) ขณะที่ อายุ 5 – 14 ปี มีปัญหาด้านสุขภาพ (ร้อยละ 42.7) และสวัสดิภาพเด็ก (ร้อยละ 37.7) นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเผชิญกับความท้าทายด้านครอบครัว โดยเฉพาะปัญหาความสัมพันธ์และความรุนแรงในครอบครัว ปัญหาการขาดความรู้ ความเข้าใจ และความพร้อมในการเลี้ยงดูบุตร และปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรในกลุ่มครัวเรือนยากจน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะกระทบต่อการพัฒนาในช่วงเริ่มต้นของชีวิตซึ่งเป็นช่วงวัยที่สำคัญและให้ผลคุ้มค่าด้านการพัฒนาสูงที่สุด และจะส่งผลไปสู่คุณภาพประชากรในอนาคต โดย สศช. เห็นถึงความสำคัญของการใช้ชุมชนนำในการช่วยเหลือและดูแลเด็ก เยาวชน ครอบครัว และนำมาสู่การหารือแลกเปลี่ยนร่วมกับ สสส. พร้อมภาคีเครือข่ายในครั้งนี้ เพื่อร่วมกันหาจุดคานงัดที่จะสามารถนำไปสู่การปรับเปลี่ยนเชิงกลไกและนโยบายระบบสนับสนุนเด็กและครอบครัวระดับพื้นที่บนฐานแนวคิดชุมชนนำต่อไป

นางสาวณัฐยาฯ ได้นำเสนอกรอบแนวคิดและกระบวนการทำงานบนฐานแนวคิดชุมชนนำ (community-led approach) สำหรับการเฝ้าระวัง ป้องกัน แก้ไข และติดตามภาวะเปราะบางที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน รวมถึงโมเดลการทำงานในพื้นที่นำร่อง เพื่อชี้ให้เห็นบทบาทสำคัญของการสนับสนุนและคุ้มครองเด็กผ่านกลไกระดับชุมชนที่ สสส. ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายท้องถิ่นในการขับเคลื่อนงานในระดับตำบลอย่างต่อเนื่อง โดยใช้โมเดล “เลี้ยงเด็กหนึ่งคนใช้คนทั้งหมู่บ้าน” ผสานกับแนวคิดชุมชนนำ ยึดผลประโยชน์สูงสุดของเด็กในการได้รับการปกป้องคุ้มครองเป็นสำคัญ ขณะเดียวกันใช้สัญชาตญาณและจิตวิทยาเชิงบวกของผู้ใหญ่กำหนดทิศทางการพัฒนา ร่วมกับกระบวนการดำเนินงานที่เกิดจากความคิด ความกล้าและการลงมือปฏิบัติ โดยไม่ใช้เครื่องมือสำเร็จรูปแต่ใช้การคิดแนวทางแก้ปัญหาร่วมกันของคนในชุมชน ทั้งนี้ สสส. และภาคีเครือข่าย 19 จังหวัดต้นแบบ 210 ตำบล ได้ถอดบทเรียนการทำงานด้านเด็กและครอบครัวแบบชุมชนนำ เพื่อให้เกิดชุดองค์ความรู้ เครื่องมือ และนวัตกรรมการสร้างสุขภาวะในเด็กและครอบครัว ซึ่งจะช่วยกันส่งต่อแนวคิดและบทเรียนการทำงานสู่พื้นที่ข้างเคียง

ในช่วงถัดมา เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานในพื้นที่จากตัวแทนคณะทำงานกลุ่มต่าง ๆ โดยได้สะท้อนจุดแข็งของการทำงานแบบชุมชนนำ คือ การทำให้ชุมชนรู้สึกเป็นเจ้าของ ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาเด็กและครอบครัวในพื้นที่ ก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติและดำเนินการด้วยชุมชน นำไปสู่ระบบการทำงานในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มจากการตั้งโจทย์ในพื้นที่เพื่อทำความรู้จักเด็กทุกคนและสามารถสังเคราะห์ข้อมูลเป็นรายบุคคล จำแนกระดับปัญหา (สีเขียว สีเหลือง สีแดง) โดยให้ชุมชนเป็นผู้ติดตาม ประสานทีมสหวิชาชีพ เพื่อแก้ไขปัญหาและส่งต่อการช่วยเหลือกับภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง หัวใจสำคัญของการดำเนินงาน คือ การเสริมสมรรถนะและสร้างความเข้มแข็งของคณะทำงานที่เป็นภาคส่วนที่ 3 (third sector) อาทิ องค์กรชุมชน องค์กรสาธารณประโยชน์ วิสาหกิจเพื่อสังคม โดยเปิดโอกาสให้ภาคส่วนดังกล่าวทำงานได้อย่างยืดหยุ่นและมีความเป็นอิสระในการแก้ปัญหา โดยที่หน่วยงานภาครัฐควรเข้ามาหนุนเสริมพลังและสมรรถนะให้ชุมชน เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาและทำงานได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

ขณะเดียวกัน ภาครัฐต้องลดขั้นตอน/กระบวนการที่ไม่เอื้อต่อการดำเนินงาน และเพิ่มการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นในการทำงานอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการปรับพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 เพื่อให้อำนาจหน้าที่แก่คนในชุมชนด่านหน้าในการช่วยเหลือดูแลเด็กและครอบครัว รวมถึงพัฒนาหรือปรับปรุงกลไกด้านกองทุนเพื่อเพิ่มการเข้าถึง และพิจารณาควบรวมกองทุนระดับพื้นที่ รวมถึงบูรณาการศูนย์ความช่วยเหลือระดับชุมชน การปรับโครงสร้างและการทำงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีการวิเคราะห์บทบาทหน่วยงานตามกฎหมายต่าง ๆ และการทำงานจากภาคส่วนอื่น ๆ ที่มีอยู่ในระดับพื้นที่ เพื่อหาแนวทางในการจัดสรรงบประมาณและบุคลากรให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด

ในการนี้ รศช.วรวรรณฯ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนความสำคัญของการเชื่อมโยง Macro – Micro Link โดยใช้ตำบลเป็นตัวตั้งในการแก้ไขปัญหา การเข้าไปหนุนเสริมการดำเนินงานในพื้นที่ของภาครัฐ ด้วยการปลดล็อกอุปสรรคภาคประชาสังคมให้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนการทำงานและการมีกฎระเบียบที่เอื้อให้ท้องถิ่นสามารถดำเนินการได้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความยั่งยืนของระบบนิเวศในการดูแลคุ้มครองเด็ก เยาวชน และครอบครัว

ท้ายสุด นางสาวณัฐยาฯ ได้สรุปเวทีสนทนาเชิงนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนระยะต่อไป โดย สสส. จะยกระดับการทำงานบนฐานทุนทำงานและองค์ความรู้ที่มีอยู่ โดยขอเชิญชวนหน่วยงานทุกองคาพยพในระบบปกป้องคุ้มครองเด็กที่ถือนโยบาย/ทรัพยากร มาร่วมทำ sandbox ในการจัดระบบความสัมพันธ์ของสหวิชาชีพ เพื่อทำให้ระบบ macro link ในระดับจังหวัดมีความเข้มแข็ง และปลดล็อกระเบียบหรือข้อจำกัดต่าง ๆ เพื่อเอื้ออำนวยให้การทำงานในระดับชุมชน (micro link) เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น เพื่อสร้างระบบสนับสนุนเด็กและครอบครัวแบบไร้รอยต่อบนฐานคิดแบบชุมชนนำให้มีความเข้มแข็ง นำไปสู่การแก้ปัญหาเด็กเยาวชน และครอบครัว ให้สัมฤทธิ์ผลและมีความยั่งยืน

ทั้งนี้ สศช. ในฐานะหน่วยงานขับเคลื่อนแผนพัฒนาประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาว (พ.ศ. 2565 – 2580) และร่วมผลักดันมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 16 เรื่องการส่งเสริมการเกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพ จะดำเนินการร่วมกับ สสส. สังเคราะห์ผลการหารือแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ พร้อมข้อค้นพบจากการทำงานในระยะต่อไป ไปประกอบการจัดทำนโยบายเพื่อหาแนวทางในการปิดช่องว่าง ตลอดจนสร้างความเปลี่ยนแปลงและความยั่งยืนเชิงระบบในการคุ้มครองเด็กและเยาวชนในภาวะเปราะบางระดับพื้นที่ได้ในที่สุด

ข่าว/ภาพ : กองยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคม