เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกับมูลนิธิพัฒนาไท (มพท.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ วุฒิอาสาธนาคารสมองและภาคีเครือข่ายภาคตะวันออก จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “ยกระดับการขับเคลื่อนพื้นที่ปฏิบัติการที่ยั่งยืน (SDG LAB) : ตะวันออก ฟอรั่ม ปฏิบัติการสู่โลกเย็นที่เป็นธรรม” ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อสนับสนุนการสร้างความร่วมมือขับเคลื่อน SDG LAB ภาคตะวันออก และยกระดับปฏิบัติการสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่จะนำไปสู่การสร้างสังคมแห่งโอกาสที่เป็นธรรมในการรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีนางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการประชุม และสำนักงานฯ ได้รับเกียรติจาก นายกำพล สิริรัตตนนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา และ รองศาสตราจารย์ ดร.ดวงพร ภู่ผะกา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ร่วมกล่าวต้อนรับ การประชุมในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 200 คน ประกอบด้วย วุฒิอาสาธนาคารสมอง ภาคีเครือข่ายการพัฒนา ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ชุมชนนักปฏิบัติ และกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่
การประชุมในครั้งนี้ เป็นการร่วมแถลงเจตนารมณ์การเป็นหุ้นส่วนร่วมพัฒนาเพื่อสร้างโลกเย็นที่เป็นธรรม ซึ่งมีภาคีจากหลายภาคส่วน จำนวน 20 หน่วยงาน ประกอบด้วย (1) ภาครัฐ อาทิ สศช. สช. สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 13 (2) ธุรกิจเพื่อสังคม อาทิ กิจการเพื่อสังคมแสงสุรีย์ และระยองพัฒนาเมือง (3) ภาคประชาสังคม อาทิ มพท. เครือข่ายเพื่อนตะวันออก และคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (ภาคตะวันออก) และ (4) ภาคการศึกษา อาทิ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ และมีการประกาศปฏิญญาตะวันออก 2567 สู่โลกเย็นที่เป็นธรรม โดยมีใจความว่า “สิทธิของมนุษยชนกำลังถูกลิดรอน ถูกบังคับให้จำยอมต้องอยู่ท่ามกลางวิกฤติสภาวะภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาวะ ความเสียหายทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงแห่งชีวิต ภาคีประชาสังคมตะวันออก จำเป็นต้องขอสงวนสิทธิแห่งความเป็นมนุษย์ของทุกคน ด้วยการตั้งเจตจำนงแน่วแน่ที่จะยกระดับความเข้มข้นในการต่อกรกับวิกฤตินี้ เราจะระดมปัญญาและสนธิสรรพกำลัง ร่วมกันลดปัญหาที่ต้นเหตุและรังสรรค์แนวทางเพื่อปรับตัว บรรเทาความรุนแรงจากผลกระทบที่ปลายทาง เราจะเปลี่ยนโลกร้อน สู่โลกเย็นที่เป็นธรรม เพื่อรักษาสิทธิในการดำรงอยู่ของทุกเผ่าพันธุ์อย่างเสมอภาค ด้วยความโปร่งใสและจริงใจต่อกัน เพื่อความเป็นธรรมที่เท่าเทียมของทุกภาคส่วน”
นอกจากนี้ มีเวทีปาฐกถาพิเศษ ปฏิบัติการสู่โลกเย็นที่เป็นธรรม โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย (1) รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้เชี่ยวชาญคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ชี้ให้เห็นสถานการณ์ภาคตะวันออกกลายเป็นพื้นที่เปราะบางที่ต้องรับมือกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะภาวะน้ำท่วม-น้ำแล้ง ที่ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรอย่างรุนแรง ดังนั้น ภาคตะวันออกจึงควรใช้ Nature based solution หรือการแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นฐาน อาทิ ส่งเสริมพื้นที่ปลูกป่า ไม่นำไม้ต่างถิ่นมาใช้ เพื่อสงวนรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และการออกแบบพื้นที่ที่สอดคล้องกับระบบนิเวศเพื่อป้องกันน้ำท่วม (2) ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ทั้งภาคเกษตร ที่ส่งผลให้สินค้าเกษตรมีราคาที่สูงขึ้นตามต้นทุน ภาคอุตสาหกรรม ที่เกิดสถานการณ์ขาดแคลนน้ำสำหรับใช้ในกระบวนการผลิต และต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากค่าไฟฟ้า ภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวลดลงจากการแปรปรวนทางสภาพภูมิอากาศ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องเร่งดำเนินการ ทั้งการ Transition to Low Carbon การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม และส่งเสริมการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation) เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความเข้มแข็ง และสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง (3) รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ กล่าวถึงงานวิจัย “การพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำที่น่าอยู่” ที่ได้ทดลองดำเนินการในพื้นที่นำร่อง อาทิ จังหวัดสระบุรีและจังหวัดระยอง โดยวิเคราะห์ปัจจัย/องค์ประกอบของเมืองที่ทำให้เกิดทั้งโอกาสและความเสี่ยงในการพัฒนา ซึ่งภาคตะวันออกมีนัยยะการเป็นพื้นที่แห่งโอกาสและความเสี่ยงสูง อาทิ มีระบบการคมนาคมขนส่ง/การเชื่อมต่อที่หลากหลาย มีโอกาสการทำงานจากการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) และมีชุดความรู้และความร่วมมือจากคนในพื้นที่ รวมทั้งมีความเสี่ยงของทรัพยากรธรรมชาติที่เริ่มมีปัญหา จึงต้องเร่งวางแผนและบริหารจัดการเมืองให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศให้ทันการณ์ (4) ดร.บุตรา บุญเลี้ยง Head of ESG Strategy and New Initiatives บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จํากัด (มหาชน) นำเสนอการใช้แนวคิด ESG ในการดำเนินธุรกิจของ SCG โดยให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจที่คำนึงถึงความรับผิดชอบ 3 ด้านหลัก คือ สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และการกำกับดูแล (Governance) รวมถึงดำเนินธุรกิจด้วยนวัตกรรมสีเขียว อาทิ การผลิตสินค้าที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การใช้องค์ประกอบที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เพื่อเป็นการปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันและในอนาคต
การรวมพลังแสดงเจตนารมณ์ของภาคีเครือข่ายภาคตะวันออกในครั้งนี้ ได้ผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อยกระดับการขับเคลื่อนพื้นที่ปฏิบัติการที่ยั่งยืน (SDG LAB) โดย (1) พื้นที่ป่าและพื้นที่รอบป่า จะส่งเสริมการสร้างองค์ความรู้ด้วยการสร้างคุณค่า (Value Attitude Skills) ให้กับคนในชุมชนและเยาวชน ในการทำให้ป่าเป็นพื้นที่ผลิตออกซิเจนและดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ (2) พื้นที่ลุ่มน้ำ จะพัฒนานวัตกรรมการจัดการน้ำโดยชุมชน และร่วมทำ MOU เพื่อกำหนดข้อตกลงในการบริหารจัดการน้ำในชุมชน (3) พื้นที่เกษตร จะเน้นการทำเกษตรวิถีใหม่ที่ใช้นวัตกรรม/เทคโนโลยี และทำการเกษตรแบบผสมผสาน (4) พื้นที่อุตสาหกรรม จะร่วมกันทำงานวิจัยพื้นบ้าน/ท้องถิ่น อาทิ ประมงชายฝั่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมควบคู่กับการพัฒนาเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว (5) พื้นที่ทะเลและชายฝั่ง ขยายเครือข่ายชุมชนในการอนุรักษ์ชายฝั่งตะวันออก (6) ประเด็นปัญหาเร่งด่วน ช้างป่าภาคตะวันออก จะร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในการรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้า และสร้างการรับรู้ทางสังคมเกี่ยวกับปัญหาเรื่องช้างป่า
ภายหลังจากการประชุม หุ้นส่วนการพัฒนาภาคตะวันออกจะร่วมกันจัดทำยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อน “ภาคตะวันออก สู่โลกเย็นที่เป็นธรรม” โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่มีทักษะการคิดเชิงยุทธศาสตร์และการบริหารโครงการ รวมทั้งผลักดันทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออกจากระดับพื้นที่สู่ระดับนโยบาย ซึ่ง สศช. จะทำหน้าที่หนุนเสริมการขับเคลื่อนทั้งการสนับสนุนข้อมูลและองค์ความรู้ รวมทั้งเชื่อมประสานหน่วยงานภาคีภายนอกเพื่อให้การขับเคลื่อนเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ข่าว : กองยุทธศาสตร์การพัฒนาความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางสังคมภาพ : กองยุทธศาสตร์การพัฒนาความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางสังคม/มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์