Accessibility

Accessibility Options

สภาพัฒน์ ร่วมกับ ESCAP จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาระบบความคุ้มครองทางสังคมให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

สภาพัฒน์ ร่วมกับ ESCAP จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ
เพื่อพัฒนาระบบความคุ้มครองทางสังคมให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกับคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) ได้ร่วมกันจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การพัฒนาระบบความคุ้มครองทางสังคมเพื่อพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อรับฟังความเห็นจากหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบความคุ้มครองทางสังคมและการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อันจะนำไปสู่การขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบความคุ้มครองทางสังคมในภาวะวิกฤตและการเปลี่ยนผ่านการผลิตและบริโภคไปสู่ความยั่งยืน รวมถึงขับเคลื่อนการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการการยกระดับความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบความคุ้มครองทางสังคมในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (Action Plan to Strengthen Regional Cooperation on Social Protection in Asia and the Pacific) ที่ประเทศไทยได้ร่วมลงนามความร่วมมือกับประเทศสมาชิกอื่น ๆ ในภูมิภาค ณ โรงแรมเดอะสุโกศล กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานสำคัญเข้าร่วมการสัมมนาและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบความคุ้มครองทางสังคมฯ อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม สำนักงานผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UNRC) องค์การยูนิเซฟประเทศไทย (UNICEF) องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ตลอดจนผู้แทนจากสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยที่เกี่ยวข้อง

การพัฒนาระบบความคุ้มครองทางสังคมให้สามารถพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นประเด็นการพัฒนาที่ได้รับความสำคัญในทุกระดับ โดย นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ชี้ให้ว่า ระบบคุ้มครองทางสังคมที่มีความพร้อมและครอบคลุม จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างให้ประชาชนสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี และเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้คนไทยสามารถฟื้นตัวและรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงเป็นเครื่องมือสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพฤติกรรมของประชาชนไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำได้ในอนาคต ขณะที่ Ms. Michaela Friberg-Storey United Nations Resident Coordinator, Resident Coordinator’s Office Thailand ได้เน้นย้ำให้เห็นว่า การจัดความคุ้มครองทางสังคม ถือเป็นการลงทุนให้กับประชาชนในประเทศทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพื่อให้ทุกคนได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง นอกจากนี้ Ms. Katinka Weinberger Chief Socioeconomic Transformations Section, Social Development Division ESCAP ยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการบูรณาการระบบคุ้มครองทางสังคมกับนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ และมีมาตรการเตรียมความพร้อมที่ชัดเจน เพื่อเป็นกลไกในการบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ที่ส่งผลต่อรูปแบบการใช้ชีวิตและการจ้างงานของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

สำหรับประเด็นที่ควรให้ความสำคัญในการพัฒนามาตรการความคุ้มครองทางสังคมให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้น Ms. Sayuri Cocco Okada Social Affairs Officer, ESCAP ได้เสนอให้ประเทศไทยเร่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้รับประโยชน์ และบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ทั้งด้านสุขภาพ รายได้ อาหาร และการโยกย้ายถิ่นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอแนะจากการศึกษาของ นายแพทย์ถาวร สกุลพาณิชย์ ที่ปรึกษา ESCAP ที่พบว่า การเสริมสร้างระบบความคุ้มครองทางสังคมของไทยให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพของการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยที่อาจเกิดขึ้น การเชื่อมโยงฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านความคุ้มครองทางสังคมของไทยที่มีการบูรณาการการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีกลไกในการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบได้อย่างตรงจุดและมีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Mr. Kenichi Hirose Senior Social Protection Specialist, ILO Regional Office for Asia and Pacific ได้เสนอว่า ประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการบูรณาการความคุ้มครองทางสังคมทั้งแบบร่วมจ่ายและไม่ร่วมจ่าย มุ่งเตรียมความพร้อมในการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้สูงวัยที่มีความเปราะบาง และพัฒนามาตรการคุ้มครองทางสังคมที่สอดคล้องกับรูปแบบการใช้ชีวิตและสภาพของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป

ภายในงานดังกล่าว ยังได้มีระดมความเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาระบบคุ้มครองทางสังคมของไทยให้สามารถรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยพบว่า การบรรเทาผลกระทบจากการดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจก ควรมีการพิจารณาผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบและระบุผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีข้อมูลที่จำเป็นในการพัฒนาระบบความคุ้มครองทางสังคมให้มีความครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการพัฒนาทักษะแรงงาน ขณะที่การเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควรให้ความสำคัญกับการจัดทำมาตรการเชิงป้องกันก่อนเกิดภัยที่มีประสิทธิภาพ การสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนในการช่วยเหลือตนเองได้ทันที และการพัฒนาระบบเตือนภัยที่สามารถเข้าใจและเข้าถึงได้ง่าย เพื่อให้ประชาชนสามารถรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ด้านการเชื่อมโยงระบบความคุ้มครองทางสังคมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เหมาะสม เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการยกระดับความคุ้มครองทางสังคมและเตรียมความพร้อมในการดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ โดยประเด็นข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการสัมมนาในวันนี้ จะใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการปรับปรุงร่างรายงานการศึกษาความพร้อมของไทยในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ (Readiness to Implement the Action Plan to Strengthen Regional Cooperation on Social Protection) ที่สภาพัฒน์และ ESCAP ดำเนินการร่วมกัน ตลอดจนนำไปเป็นข้อมูลประกอบการพัฒนาแผนและนโยบาย รวมถึงแนวทางการขับเคลื่อนเพื่อให้การคุ้มครองทางสังคมของประเทศไทยสามารถตอบสนองต่อความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป

ข่าว : กองศึกษาและวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ สศช.
ภาพ : เมฐติญา วงษ์ภักดี