Accessibility

Accessibility Options

การติดตามโครงการภายใต้แผนงาน สร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานราก เพื่อขับเคลื่อนแผนพัฒนาภาคสู่การปฏิบัติ จังหวัดสงขลาและจังหวัดพัทลุง

เมื่อวันที่ 13 – 14 กุมภาพันธ์ 2566 ศาสตราจารย์ ดร.สนิท อักษรแก้ว ประธานอนุกรรมการติดตามโครงการภายใต้แผนงานสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานราก พร้อมด้วย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จำนวน 2 ท่าน ได้แก่ นางสุวรรณี คำมั่น และนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน สศช. จำนวน 2 ท่าน ได้แก่ นายสุริยนต์ ธัญกิจจานุกิจ และนายโสภณ แท่งเพ็ชร์ นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม รองศาสตราจารย์ ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง นายสมนึก คงชู เกษตรจังหวัดพัทลุง นางวีนัส นาคสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคใต้ และเจ้าหน้าที่สภาพัฒน์ฯ ลงพื้นที่จังหวัดสงขลาและจังหวัดพัทลุง เพื่อประชุมหารือและรับฟังผลการดำเนินงานโครงการสำคัญเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในระดับพื้นที่ ประกอบด้วย (1) โครงการกระตุ้นและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย (Community Cultural Product of Thailand : CCPOT) สู่สากล กระทรวงวัฒนธรรม กรณีชุมชนเครือข่ายทางวัฒนธรรมหัตถกรรมลูกปัดมโนราห์บ้านขาว อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา (2) โครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ (1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย) กรณีโครงการการสร้างมูลค่าเพิ่มจากสาคูต้น พืชอัตลักษณ์จังหวัดพัทลุง : ไวน์สาคู และ (3) โครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด กรณีแปลงใหญ่สละ ตำบลทุ่งนารี อำเภอป่าบอน จังหวัดพัทลุง

การลงพื้นที่ในครั้งนี้ คณะอนุกรรมการฯ ได้รับทราบผลการดำเนินงานว่าทุกโครงการประสบความสำเร็จบรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ทั้งนี้ได้รับฟังปัญหาอุปสรรคพร้อมให้ข้อเสนอแนะ เพื่อนำไปสู่การขยายผลด้านการตลาดและให้เกิดความยั่งยืน ตอบสนองความต้องการของทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยกรณีหัตถกรรมลูกปัดมโนราห์บ้านขาว มีจุดเด่นเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่นำความรู้ด้านสถาปัตยกรรมมาต่อยอดภูมิปัญญาลูกปัดมโนราห์ สร้างเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง แต่ประสบปัญหาจำนวนสมาชิกและผู้สนใจมีน้อย เนื่องจากเป็นงานทำมือที่ต้องใช้ความประณีต จึงต้องร่วมมือกับสถาบันการศึกษาคิดค้นนวัตกรรมพัฒนาอุปกรณ์ร้อยลูกปัดให้ผู้ปฏิบัติงานมีความสะดวก นอกจากนี้ควรเร่งยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายทางการค้า NERA และจดลิขสิทธิ์ผลิตภัณฑ์ เพื่อป้องกันการลอกเลียนแบบ สำหรับการสร้างมูลค่าเพิ่มจากสาคูต้นฯ ซึ่งเกิดจากการทำงานแบบบูรณาการโดยใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญา ภูมินิเวศ และวิทยาศาสตร์ ทำให้กลุ่มนวัตกรสามารถจดทะเบียนเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม ควรส่งเสริมการนำหลัก BCG Model และพัฒนาสาคูให้ครอบคลุมตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่กระบวนการปลูก การแปรรูป และการตลาด นอกจากนี้จังหวัดสามารถนำระบบฐานข้อมูลรายตำบล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมาสนับสนุนการจัดทำเป้าหมายการพัฒนาจังหวัดครั้งละ 20 ปี สำหรับแปลงใหญ่สละตำบลทุ่งนารี เป็นต้นแบบของกลุ่มที่มีความเข้มแข็ง และมีรายได้จากการผลิตปีละ 230,000 บาทต่อไร่ ทั้งนี้กลุ่มมีแผนการก่อสร้างศูนย์รวบรวมและรักษาผลผลิต (ห้องเย็น) เพื่อให้มีอำนาจต่อรองด้านการตลาด รวมทั้งต้องการรับการสนับสนุนการวิจัย นวัตกรรม ด้านการแปรรูปสละให้เป็นสินค้ามูลค่าสูงที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค เพื่อให้ชุมชนฐานรากมีรายได้เพิ่มขึ้น