เมื่อวันที่ 22 – 23 ตุลาคม 2568 สาธารณรัฐเกาหลี ในฐานะเจ้าภาพเอเปคปี 2568 ได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านการปฏิรูปโครงสร้าง (Structural Reform Ministerial Meeting: SRMM) ครั้งที่ 4 ณ เมืองอินชอน โดยมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทยเข้าร่วมประชุม พร้อมด้วยนางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะเจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายไทยของคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค (Economic Committee)
การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความก้าวหน้าและกำหนดทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ของการดำเนินงานด้านการปฏิรูปโครงสร้างของเอเปคในระยะต่อไป โดยถือเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนแนวทางการจัดการอุปสรรคเชิงโครงสร้างและเสริมสร้างศักยภาพของภูมิภาคเพื่อสนับสนุนการเติบโตที่ยั่งยืน ครอบคลุม และสร้างสรรค์ ทั้งนี้ การประชุมฯ ได้หารือภายใต้ 3 หัวข้อสำคัญ ได้แก่
1. การปฏิรูปโครงสร้างเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน: เชื่อมโยง นวัตกรรม มั่งคั่ง แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับบทบาทของการปฏิรูปโครงสร้างในการสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและครอบคลุม โดยสะท้อนความสำคัญของความร่วมมือระดับภูมิภาคภายใต้กรอบการปฏิรูปโครงสร้างของเอเปคเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขัน โปร่งใส และเปิดกว้าง ส่งเสริมความยืดหยุ่นของภาคธุรกิจ และสร้างโอกาสอย่างทั่วถึง รวมถึงใช้ประโยชน์จากนวัตกรรม เทคโนโลยี และการพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อเพิ่มผลิตภาพและการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล
2. การปฏิรูปโครงสร้างเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยง มุ่งสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเขตเศรษฐกิจเอเปคผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบ และกลไกความร่วมมือที่เอื้อต่อการค้า การลงทุน และการเคลื่อนย้ายทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างตลาดและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่แข่งขันได้อย่างเป็นธรรม นอกจากนี้ การสนับสนุน MSMEs รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ทักษะ และความมั่นคงด้านไซเบอร์ ช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้าสู่ตลาดใหม่ ปรับปรุงประสิทธิภาพ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในภูมิภาคอย่างยั่งยืน
3. การปฏิรูปโครงสร้างเพื่อส่งเสริมความมั่งคั่งให้กับทุกคน เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและเท่าเทียม พร้อมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับทุกภาคส่วน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน การปฏิรูปโครงสร้างสนับสนุนการเข้าถึงบริการพื้นฐานและเพิ่มศักยภาพของ MSMEs ผ่านการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเทคโนโลยี เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจและแรงงาน พร้อมทั้งสร้างระบบคุ้มครองทางสังคมที่มั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล และสนับสนุนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงด้านประชากรและสิ่งแวดล้อม ทำให้เศรษฐกิจมีความยืดหยุ่นและเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรีฯ ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ โดยเฉพาะกับดักรายได้ปานกลาง ความเหลื่อมล้ำ และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมเสนอแนวทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปใน 3 ด้าน ได้แก่ การเชื่อมโยง (Connect) นวัตกรรม (Innovate) และความมั่งคั่งอย่างทั่วถึง (Prosper) ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินงานของสาธารณรัฐเกาหลีในฐานะเจ้าภาพเอเปค ปี 2568 โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
1. ด้านการเชื่อมโยง ไทยให้ความสำคัญกับการยกระดับกลไกภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตอบโจทย์การพัฒนาในระยะยาวผ่านการปฏิรูปกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ การพัฒนาระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ (e-Customs) และ National Single Window เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า รวมถึงการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อช่วยลดขั้นตอนและอุปสรรคทางการค้าดิจิทัล2. ด้านนวัตกรรม ไทยมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า พร้อมลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและพัฒนาทักษะแรงงานในด้านพลังงานสะอาด เกษตรอัจฉริยะ และเทคโนโลยีหุ่นยนต์ขั้นสูง เพื่อเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน3. ด้านความมั่งคั่งอย่างทั่วถึง ไทยเน้นย้ำแนวความคิดการเติบโตโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยมุ่งใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐอย่างมีเป้าหมายและประสิทธิภาพ อาทิ โครงการคนละครึ่งพลัส ที่ใช้เทคโนโลยี AI บริหารจัดการการอุดหนุนค่าใช้จ่ายจำเป็นให้แก่ประชาชน พร้อมกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้และปรับตัวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ร่วมรับรองแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านการปฏิรูปโครงสร้าง ปี 2568 โดยมีสาระสำคัญมุ่งเน้นการปฏิรูปโครงสร้างเพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ครอบคลุม และขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ผ่านการเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเขตเศรษฐกิจสมาชิก สนับสนุนสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่แข่งขันได้ และส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล พร้อมผลักดันด้านนวัตกรรมเพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตและความสามารถในการแข่งขันของภูมิภาค