เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดเวทีเสวนา “ก้าวพอดี 2568” เพื่อสร้างการตระหนักรู้ ส่งเสริมการมีส่วนร่วม และเผยแพร่ความก้าวหน้าการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “ก้าวพอดี ก้าวไปต่อด้วยกัน เพื่อวันต่อไปที่ยั่งยืน” ณ ฮอล 3 ลิโด้ คอนเน็คท์ สยามสแควร์ เวทีเสวนาฯ จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสะท้อนถึงศักยภาพของกลุ่มคนเปราะบางในฐานะหนึ่งพลังสำคัญของการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และเพื่อเปลี่ยนมุมมองต่อกลุ่มคนเปราะบางให้เป็นพลังขับเคลื่อนและหุ้นส่วนการพัฒนาที่สำคัญของประเทศ โดยไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดยมีนางสาวศศิธร พลัตถเดช รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นผู้กล่าวเปิดเวทีเสวนาฯ
เวทีเสวนา “ก้าวพอดี 2568” ประกอบด้วยการเสวนาใน 2 ช่วง 2 หัวข้อ คือ “จากเปราะบางสู่พลังขับเคลื่อนความยั่งยืน” และ “ร่วมมือข้ามรุ่นหุ้นส่วนความยั่งยืนที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้าง” ร่วมเสวนาโดยวิทยากรจากหลากหลายภาคส่วน นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดบูธนิทรรศการก้าวพอดี 2568 ภายใต้แนวคิด “ก้าวพอดี ก้าวไปต่อด้วยกัน เพื่อวันต่อไปที่ยั่งยืน” จากเครือข่ายเพื่อการพัฒนา ได้แก่ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา มูลนิธิกระจกเงา และธนาคารสมอง มูลนิธิพัฒนาไท รวมทั้งมีจุดถ่ายภาพที่ระลึก พร้อมทั้งรับของที่ระลึกรักษ์โลก และของที่ระลึกจัดทำโดยมูลนิธิออทิสติกไทย
ในโอกาสนี้ รองเลขาธิการฯ ได้เน้นย้ำถึงการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในห้วงเวลาที่เหลืออีก 5 ปี หัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่ความยั่งยืนคือการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เวทีเสวนาฯ จึงเป็นเวทีแห่งโอกาสในการดึงพลังในการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
ในส่วนของเวทีเสวนาทั้ง 2 ช่วง นั้น วิทยากรได้ร่วมกันอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ในการสร้างความตระหนักรู้เพื่อเร่งเสริมพลังของทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืน สรุปได้ ดังนี้
เวทีเสวนาช่วงที่ 1 ในหัวข้อ “จากเปราะบางสู่พลังขับเคลื่อนความยั่งยืน” ประกอบด้วยวิทยากร ได้แก่ (1) คุณขวัญสุดา พวงกิจจา นักกีฬาเทควันโด พาราลิมปิก ได้เน้นย้ำถึงสิ่งที่กลุ่มเปราะบางต้องการมากที่สุด คือการใช้ชีวิตในสังคมอย่างเป็นปกติทั่วไป สิ่งที่ทำให้คนเปราะบางสามารถใช้ชีวิตด้วยตัวเองโดยไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง (2) คุณอุษา เลิศศรีสันทัด ผู้อำนวยการสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี ในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ มีความเห็นว่าถ้าเรามีพื้นที่ให้ผู้หญิงและเด็กได้ตั้งหลัก ให้เด็กได้เติบโต ให้แม่ได้ตั้งครรภ์อย่างสบายใจ เราจะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส จะมีประชากรที่มีคุณภาพ และเป็นรากฐานให้ประเทศต่อไป และเสนอว่าการขับเคลื่อนประเด็นนี้ไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานด้านสตรีหรือเด็กเท่านั้น แต่ต้องอาศัยการร่วมแรงจากทุกภาคส่วนที่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของคนหนึ่งคนให้ดีขึ้นในทุกมิติ (3) คุณสถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา หัวหน้าฝ่ายสื่อสารและดูแลภาพลักษณ์องค์กร สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) มีความเห็นว่าเราควรให้พื้นที่และโอกาสแก่กลุ่มคนผู้เคยถูกต้องขัง โดยชี้ให้เห็นว่ากลไกการฟื้นฟูผู้เคยถูกต้องขังที่มีประสิทธิภาพจะส่งผลให้กลุ่มคนเหล่านี้สามารถตั้งหลักในสังคมได้ต่อไป (4) คุณธันยพร กริชติทายาวุธ ผู้อำนวยการสมาคมเครือข่ายโกลบอล คอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) ได้เน้นย้ำว่าการทำให้ชุมชนเข้มแข็งเป็นฐานรากของประเทศควรจะต้องมุ่งเน้นการทำให้ชุมชนเข็มแข็ง โดยการพัฒนาองค์ความรู้ให้ควบคู่ไปกับสิ่งที่เขามีความเข้มแข็ง และ (5) คุณเมตตา ราศรีจันทร์ ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนายุทธศาสตร์การพัฒนาความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางสังคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีความเห็นว่าการกำหนดนโยบายของรัฐอาจจะไม่สามารถทำให้ทุกคนสร้างเรือด้วยตัวเองได้ เราแค่โยนห่วงยางไปให้เขามีชีวิตรอด แต่ในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังเจอพายุลูกใหญ่ ภาครัฐจำเป็นต้องนำทางกลุ่มเปราะบางเหล่านี้ให้รอดมรสุมไปให้ได้โดยการเร่งแปลงนโยบายและแผนสู่การปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง
เวทีเสวนาช่วงที่ 2 ในหัวข้อ “ร่วมมือข้ามรุ่น: หุ้นส่วนความยั่งยืนที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ประกอบด้วยวิทยากร ได้แก่ (1) คุณปกรณ์วิศว์ เวียงศรีพนาวัลย์ ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มริทัศน์บางกอก (RTUS-Bangkok) ได้เน้นย้ำความสำคัญในการเร่งดึงคนจากทุกภาคส่วน กลุ่มคนจากทุกช่วงอายุ กลุ่มแรงงาน และกลุ่มผู้ประกอบการมารวมตัวเป็นเครือข่าย ซึ่งจะทำให้เรามีอำนาจในการต่อรองกับภาครัฐ (2) คุณครรชิต เข็มเฉลิม กรรมการมูลนิธิพัฒนาไท และวุฒิอาสาธนาคารสมอง จ. ฉะเชิงเทรา อยากเห็นการมีส่วนร่วมระหว่างชุมชน เอกชน และรัฐบาลมากกว่านี้ ที่ผ่านมาพวกเราก็พยายามเข้าร่วมและสะท้อนว่ามีปัญหาอะไรบ้าง แต่เห็นว่าปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไขจากภาครัฐ (3) คุณเอกชัย ศุภกุล Project Management Manager บริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด เห็นว่าความร่วมมือข้ามรุ่นนับเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย ประสบการณ์ของผู้สูงอายุเป็นสิ่งสำคัญ ในขณะที่ก็ต้องผลักดันคนรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยพลังงานและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อทำให้เรามีโอกาสจัดการความเสี่ยงในอนาคตได้มากขึ้น (4) คุณละอองดาว สีจันทร์แจ้ง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านส่งเสริมสวัสดิการสังคม กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เห็นว่าอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยน Mindset ของกลุ่มคนทั้งสามรุ่น โดยผู้อาวุโสต้องไม่มองว่าเด็กไม่มีความอดทน ผู้ใหญ่ควรจะต้องเป็นตัวเชื่อมประสานระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ ส่งผลให้เกิดความยั่งยืนในพื้นที่มากยิ่งขึ้น และ (5) คุณสมพงษ์ สระแก้ว ผู้อำนวยการและผู้ก่อตั้งมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) มีความเห็นว่าเราไม่สามารถปกป้องแรงงานข้ามชาติจากการถูกแสวงหาผลประโยชน์ได้ แต่มีความจำเป็นต้องดูแลคนกลุ่มนี้ ในด้านการพัฒนาทุนมนุษย์ เน้นการสร้างและต่อยอดคุณค่า ส่งผลให้เกิดการมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ
เวทีเสวนา “ก้าวพอดี 2568” สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของประเทศไทยในการสร้างสังคมที่เข้มแข็งและยั่งยืน โดยเปิดพื้นที่ให้ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเยาวชน ผู้สูงอายุ คนทำงานภาครัฐ เอกชน ประชาสังคมและผู้ที่เผชิญความเปราะบาง ได้ร่วมกันถ่ายทอดประสบการณ์และมุมมองที่หลากหลาย เวทีดังกล่าวจึงเป็นอีกก้าวสำคัญของการขับเคลื่อน SDGs ที่มุ่งเน้นการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม ที่ให้ทุกคนก้าวไปพร้อมกันในจังหวะที่พอดี นำไปสู่วันต่อไปที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
ภาพ/ข่าว : กองยุทธศาสตร์และประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ