เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2562 ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางมาตรวจเยี่ยมและประชุมหารือ พร้อมมอบนโยบายแก่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อหาแนวทางขยับอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยให้สูงขึ้นอีก โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พร้อมคณะผู้บริหาร สศช. ให้การต้อนรับและรับมอบนโยบาย ณ ห้องประชุม 521
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังจากประกาศผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยจาก IMD ประจำปี 2562 ประเทศไทยอันดับสูงขึ้น 5 อันดับ จากอันดับที่ 30 มาอยู่ที่อันดับ 25 โดยขยับตัวดีขึ้นกว่ามาเลเซียที่อันดับคงที่ และสามารถนำหน้าสาธารณรัฐเกาหลีซึ่งอยู่อันดับ 26 รัฐบาลจึงต้องการให้ขยับระดับความสามารถในการแข่งขันให้ดีขึ้น โดยคาดว่าการลงทุนที่มีโอกาสขยายตัวเพิ่มจากร้อยละ 3.9 เป็นร้อยละ 4.5 จึงควรใช้โอกาสนี้ส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนในการผลักดันให้ขีดความสามารถในการแข่งขันขยับสูงขึ้น
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ขณะนี้อำนาจซื้อส่วนใหญ่เป็นของรายย่อย จึงต้องหาทางส่งเสริม เพิ่มอำนาจซื้อให้กับรายย่อยในต่างจังหวัด ผ่านการสร้างเศรษฐกิจชุมชน ต้องหาทางส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็งมากขึ้น เป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาลที่ต้องการให้เศรษฐกิจชุมชนเป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จึงขอให้ สศช. เป็นเสาหลักสำคัญในการดูแลเศรษฐกิจ และให้คำแนะนำแก่ทางรัฐบาล ตลอดจนเป็นหน่วยงานในการปรับโครงสร้างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทางด้านกลุ่มภาคเกษตรและการท่องเที่ยวให้กว้างมากขึ้น โดยควรจัดการประชุมหารือกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนของไทยได้มีการลงทุนทางด้านอุตสาหกรรมยุคใหม่ที่เน้นทางด้านเทคโนโลยี ทั้งในประเทศ ระดับอาเซียน และระดับโลก เพื่อช่วยกันประคับประคองให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกหลายด้าน อาทิ ส่งเสริมการค้าชายแดน ผลักดันการท่องเที่ยว และมีเส้นทางคมนาคมที่ทั่วถึง ทั้งรถไฟความเร็วสูงและมอเตอร์เวย์ ซึ่งจะช่วยให้การเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวปลายทางในเมืองรองและเมืองหลักได้คล่องตัวขึ้น ดังนั้น สศช. จะต้องวางแผนกลยุทธ์ของประเทศให้มีขีดความสามารถการแข่งขันให้มากขึ้น ด้วยการเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่เดิมเคยพึ่งพิงการส่งออกซึ่งมีปัญหาชะลอตัว มาเป็นพัฒนามูลค่าเพิ่มจากการลงทุนภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตร รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวให้แข็งแกร่งขึ้นด้วยการพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองรองให้เป็น New Destination
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า สศช. จะต้องเป็นเสาหลักสำคัญในการดูแลเศรษฐกิจ รวมทั้งต้องพิจารณาตรวจสอบและวิเคราะห์การลงทุนและการเสนอของบประมาณลงทุนของหน่วยงานต่างๆ ให้รอบคอบและคุ้มทุนมากที่สุด และให้การดำเนินงานของทุกหน่วยงานมีความสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อเป็นคานอำนาจการใช้งบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายแก่สถาบันนโยบายสาธารณะและการพัฒนา ภายใต้มูลนิธิพระยาสุริยานุวัตร ที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ ให้ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานในการระดมสมองของคนรุ่นใหม่และคณะผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ที่มีศักยภาพสูง มาสร้างงานวิจัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ เพื่อจัดทำเป็น Think Tank และ Big Data ให้กับประเทศ และทำหน้าที่ในการคาดการณ์แนวโน้มของสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศ
อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญของการขยับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ คือ "คน” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อน หากคนไม่มีการศึกษาหรือไม่มีศักยภาพ ทุกอย่างก็จะไม่สามารถขยับได้ รัฐบาลจึงยังต้องการเร่งรัดพัฒนาบุคลากรคุณภาพเพื่อรองรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) ที่จะต้องมีการดึงบทบาทของภาคเอกชนเข้ามาช่วยในการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษาในระดับอาชีวศึกษาและปรับเปลี่ยนบทบาทของสถาบันในระดับอุดมศึกษาให้เน้นผลิตนักศึกษา และสร้างคนให้มีความสามารถและทักษะที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดแรงงานมากขึ้น ขณะเดียวกันประเด็นทางด้านการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเฉพาะการนำเครือข่าย 5 G มาใช้ในประเทศไทย ทางภาครัฐมีโครงการที่จะให้มีการเปิดประมูลให้แก่ภาคเอกชนในปี 2563 นี้ เพื่อรองรับกับเศรษฐกิจยุคใหม่และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันของประเทศทางด้านดิจิทัลให้สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้
ข่าว : วันทนีย์ สุขรัตนี และ ธนเทพ ปลายแก่น
ภาพ : เมฐติญา วงษ์ภักดี
|