1. ความเป็นมา
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยกลุ่มงานงบดุลแห่งชาติ กองวิเคราะห์และประมาณการเศรษฐกิจ ได้คำนวณสต๊อกทุนหรือสถิติมูลภัณฑ์ทุน (Capital Stock) ของประเทศไทยปี 2513-2539 โดยปรับปรุงข้อมูลตามสถิติรายได้ประชาชาติล่าสุดปี 2539 ที่กองบัญชีประชาชาติ ได้จัดทำเสร็จและเผยแพร่แล้ว พร้อมทั้งได้ศึกษาและคำนวณประสิทธิภาพการผลิตรวม (Total Factor Productivity: TFP) อัตราส่วนทุนต่อผลผลิต (Capital Output Ratio: COR) และผลิตภาพทุน (Capital Productivity) ในช่วงเวลาดังกล่าว
2. คำจำกัดความ
สต๊อกทุน คือ มูลค่าของทรัพย์สินถาวรที่มีอยู่ทั้งหมด ณ ปีใดปีหนึ่งโดยมูลค่าดังกล่าวครอบคลุมทุนส่วนที่ได้ลงไปในอดีตตั้งแต่ปีเริ่มแรกของการใช้งานรวมกับที่จัดหาเพิ่มเติมในปีต่อมา หักด้วยส่วนที่รื้อถอนออกไปจากกระบวนการผลิตจนถึงปีสุดท้ายที่ต้องการวัดสต๊อกทุน
3. วิธีการศึกษา
3.1 วิธีการคำนวณสต๊อกทุน ใช้วิธีการสะสมทุนนิรันดร์ (Perpetual Inventory Method: PIM) วิธีนี้เป็นการประมาณสต๊อกทุนทางอ้อม ซึ่งเป็นวิธีการที่ประหยัดค่าใช้จ่าย จึงเป็นที่นิยมในหลายประเทศ วิธีการ PIM เป็นวิธีการที่ใช้ข้อมูลพื้นฐานจากการสะสมทุนถาวร (Gross Fixed Capital Formation:GFCF) ที่คำนวณภายใต้ระบบบัญชีประชาชาติที่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือแล้ว ดังนั้นการคำนวณที่ได้จากวิธีการ PIM จะได้ค่าสถิติที่สอดคล้องกันกับสถิติรายได้ประชาชาติด้านอื่น ๆ
3.2 แนวคิดพื้นฐานของวิธีการ PIM แนวคิดพื้นฐานของวิธีการ PIM คือ หาผลรวมอนุกรมการสะสมทุนถาวรตั้งแต่ปีแรกของอายุการใช้งานจนถึงปีที่ต้องการหา หักด้วยผลรวมของมูลค่าการรื้อถอน (Retirement) ผลที่ได้คือ สต๊อกทุนเบื้องต้น (Gross Capital Stock) และเมื่อหักค่าเสื่อมราคาที่สะสมต่อเนื่องกันมาในช่วงเวลาเดียวกัน หรือนำสต๊อกทุนสุทธิปีที่แล้วมาบวกด้วยการลงทุนที่เกิดขึ้นในปีนั้นๆ หักค่าเสื่อมราคารายปี มูลค่าที่ได้เรียกว่า สต๊อกทุนสุทธิ (Net Capital Stock)
4. ผลการศึกษา
4.1 สต๊อกทุนของประเทศ
สต๊อกทุนเบื้องต้น เพิ่มสูงขึ้นโดยลำดับ โดยเฉพาะในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 6 และแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 7 เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 9.7 และ 11.7 ต่อปี ตามลำดับ
โครงสร้างสต๊อกทุนของประเทศจำแนกตามสถาบัน ภาคเอกชนเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีสต๊อกทุนมากที่สุดมาโดยตลอด อย่างไรก็ดีภาครัฐบาลได้มีความสำคัญเพิ่มขึ้นแทนที่ภาคเอกชนโดยลำดับ โดยเมื่อสิ้นแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 2 สัดส่วนระหว่างรัฐบาลและเอกชนเป็น 15 : 85 และเมื่อสิ้นสุดแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 7 สัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 23 : 77 ทั้งนี้เป็นเพราะภาครัฐบาลมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น
โครงสร้างสต๊อกทุนจำแนกตามประเภททรัพย์สิน เทียบสัดส่วนระหว่างสิ่งก่อสร้างและเครื่องจักร พบว่าประเทศไทยมีสต๊อกทุนประเภทสิ่งก่อสร้างเพิ่มมากขึ้น โดยมีสัดส่วนเทียบกับสต๊อกทุนประเภทเครื่องจักรอุปกรณ์ ในช่วงสิ้นแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 2 เป็น 51 : 49 และคิดเป็นอัตราส่วน 58 : 42 ในช่วงสิ้นแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 7 ทั้งนี้เพราะการลงทุนในสิ่งก่อสร้างขยายตัวรวดเร็วกว่าการลงทุนในเครื่องจักรในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 6 และแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 7
โครงสร้างสต๊อกทุนจำแนกตามสาขาเศรษฐกิจ ณ สิ้นแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 7 สาขาที่อยู่อาศัยมีสัดส่วนสต๊อกทุนมากที่สุดถึงร้อยละ 23.9 ของสต๊อกทั้งหมด ในขณะที่สาขาคมนาคมขนส่งคิดเป็นร้อยละ 17.5 สาขาอุตสาหกรรมคิดเป็นร้อยละ 16.9 และสาขาบริการคิดเป็นร้อยละ 11.1 ในขณะที่สาขาเกษตรกรรมมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 6.7 ของสต๊อกทั้งหมด
4.2 ประสิทธิภาพการผลิตรวม (Total Factor Productivity: TFP)
บทบาทความสำคัญของปัจจัยการผลิต 2 ประเภท ได้แก่ แรงงานและที่ดิน ที่มีต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเริ่มลดน้อยถอยลงตามลำดับนับตั้งแต่ปี 2515 เป็นต้นมา ในขณะที่ปัจจัยทุนมีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 6 และแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 7 ซึ่งในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 7 อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยร้อยละ 8.0 มีส่วนที่มาจากปัจจัยทุนถึงร้อยละ 7.7
ด้านประสิทธิภาพการผลิตรวม (TFP)* ซึ่งใช้อธิบายแทนปัจจัยด้านเทคโนโลยีและปัจจัยอื่นนอกเหนือจากทุน ที่ดิน แรงงาน มีค่าลดลงโดยตลอด ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 7 ค่าเฉลี่ยอัตราการขยายตัวของ TFP มีค่าน้อยกว่าศูนย์ คิดเป็นร้อยละ -0.05 จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยร้อยละ 8.0
อย่างไรก็ดี หากปรับค่าตอบแทนแรงงานโดยรวมการประเมิน (Impute) ค่าตอบแทนแรงงานที่ประกอบธุรกิจของตัวเอง (Own Account Worker) แล้วพบว่า สัดส่วนของปัจจัยแรงงานมีค่าสูงขึ้น ดังจะเห็นได้จากการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงปี 2524-2533 ปัจจัยแรงงานมีสัดส่วนต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจถึงร้อยละ 2.2 เทียบกับร้อยละ 0.8 ของ สศช. ซึ่งเป็นกรณีที่ยังไม่ปรับค่าตอบแทนแรงงานที่ประกอบธุรกิจของตัวเอง และค่าเฉลี่ยอัตราการขยายตัวของ TFP จะสูงถึงร้อยละ 2.2 เทียบกับร้อยละ 1.6 ของ สศช.
เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศ G7 แล้ว พบว่าค่าเฉลี่ยอัตราการขยายตัวของ TFP ของไทยลดลงค่อนข้างมาก โดยในช่วงปี ค.ศ. 1979-1995 ค่าเฉลี่ยอัตราการขยายตัวของ TFP ของไทยเท่ากับอิตาลี ในขณะที่ค่าเฉลี่ยอัตราการขยายตัวของ TFP ของประเทศอังกฤษมีค่าสูงที่สุด และเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศในแถบเอเชียในช่วงปี ค.ศ. 1970-1985 จากการศึกษาของ Marti พบว่าในกลุ่มอาเซียนค่าเฉลี่ยอัตราการขยายตัวของ TFP ของไทยยังต่ำกว่าสิงคโปร์ แต่สูงกว่าอินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ |