สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกับธนาคารโลก (World Bank) จัดประชุมเรื่อง Bridging The Gap : Thailand’s Path to Inclusive Prosperity เพื่อเผยแพร่รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2565 โดย สศช. และรายงานการลดช่องว่าง : ความเหลื่อมล้ำและการจ้างงานในประเทศไทย โดยธนาคารโลก พร้อมทั้งสะท้อนมุมมองความยากจนและความเหลื่อมล้ำโดยตัวแทนนักศึกษาจาก 4 สถาบัน
เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมรอยัลปริ๊นเซส หลานหลวง กรุงเทพมหานคร นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ Dr. Fabrizio Zarcone ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย เป็นประธานเปิดการประชุม "Bridging The Gap: Thailand’s Path to Inclusive Prosperity” โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากผู้แทนหน่วยงานระหว่างประเทศ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ สถาบันการศึกษา รวมประมาณ 100 คน
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของประเด็นความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ซึ่ง สศช. เป็นหน่วยงานที่ติดตามประเด็นความยากจนและความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้ปรับปรุงเส้นความยากจนเป็นประจำทุก 10 ปี รวมถึงการพัฒนาดัชนีความยากจนหลายมิติ (Multidimensional Poverty Index) หรือ MPI ทั้งในระดับภาพรวมประเทศ และกลุ่มเด็ก (Child MPI) ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลพื้นฐานสำคัญในการออกแบบนโยบายสำหรับการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำที่สามารถเสริมให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการแก้ไขอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมมากขึ้น ขณะที่ Dr. Fabrizio Zarcone ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย สะท้อนถึงประเด็นสำคัญของรายงานการลดช่องว่าง: ความเหลื่อมล้ำและการจ้างงานในประเทศไทย ซึ่งนำเสนอปัจจัยผลักดันให้เกิดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ลักษณะตลาดแรงงาน รวมถึงนโยบายทางเลือกในการส่งเสริมการมีส่วนร่วม โดยประเทศไทยยังคงมีข้อจำกัดในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ทำให้ไม่สามารถก้าวข้ามกับดักความยากจนได้ รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด- 19 วิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตการเมือง เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความยากจนและความเหลื่อมล้ำยังคงดำรงอยู่ และเป็นความท้าทายในการแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ซึ่งควรผลักดันนโยบายด้านการเข้าถึงการศึกษา การจ้างงาน การเพิ่มผลิตภาพแรงงาน การคุ้มครองทางสังคม การเข้าถึงสาธารณูปโภค อาทิ ไฟฟ้า น้ำประปา รวมถึงสนับสนุนภาคีการพัฒนาในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ
ในช่วงแรกนางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำเสนอสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2565 โดยชี้ว่า สถานการณ์ความยากจนปรับตัวดีขึ้น สัดส่วนคนจนลดลงจากร้อยละ 6.32 ในปี 2564 มาอยู่ที่ร้อยละ 5.43 ในปี 2565 หรือมีคนจน จำนวน 3.8 ล้านคน ภาคใต้มีปัญหาความยากจนรุนแรงที่สุดโดยมีสัดส่วนคนจนสูงที่สุด อยู่ที่ร้อยละ 9.30 ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนคนจนมากที่สุดคือ 1.43 ล้านคน ส่วนจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดคือ แม่ฮ่องสอน (ร้อยละ 24.64) รองลงมาคือ ปัตตานี (ร้อยละ 24.23) ตาก (ร้อยละ 21.73) นราธิวาส (ร้อยละ 19.25) และกาฬสินธุ์ (ร้อยละ 18.26) สำหรับแนวโน้มความเหลื่อมล้ำด้านรายจ่ายลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา โดยค่าสัมประสิทธิ์ Gini Coefficient ด้านรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคลดลงมาอยู่ที่ 0.343 ในปี 2565 ช่องว่างรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคระหว่างกลุ่ม Decile 10 และ Decile 1 ลดลงมาอยู่ที่ 8.2 เท่า ในปี 2565 นอกจากนี้ ยังนำเสนอข้อค้นพบสำคัญเกี่ยวกับการกระจายทรัพยากรเชิงพื้นที่ คือ การจัดสรรงบประมาณยังไม่สามารถทำให้เกิดการกระจายทรัพยากรเพื่อลดช่องว่างระหว่างพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม ส่วนหนึ่งเพราะหลักเกณฑ์การจัดสรรงบประมาณกลุ่มจังหวัดไม่ได้ให้ความสำคัญกับหลักเกณฑ์ด้านความยากจนเท่าที่ควร รวมทั้งการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐยังไม่สามารถลดความยากจนและเสริมสร้างความเท่าเทียมได้อย่างเต็มที่เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายประจำ ขณะที่ความเหลื่อมล้ำของโอกาสและคุณภาพทางการศึกษาระหว่างพื้นที่ ขนาดโรงเรียน และสังกัดยังเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข ในด้านสาธารณสุขยังมีความเหลื่อมล้ำจากปัจจัยทางด้านการกระจุกตัวของบุคลากรทางการแพทย์ในเมืองหลวงและเมืองใหญ่ รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับระบบข้อมูลในด้านความยากจนและเหลื่อมล้ำ พบว่า ภาครัฐขาดฐานข้อมูลประชาชนที่เชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงาน และหน่วยงานภาครัฐยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลกระทบของมาตรการ/โครงการสวัสดิการสังคมเท่าที่ควร ซึ่งนำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบาย ได้แก่ 1) ทบทวนแนวทางการจัดสรรงบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดให้ครอบคลุมองค์ประกอบด้านความยากจนและความเหลื่อมล้ำ 2) เพิ่มประสิทธิภาพนโยบายการคลัง โดยเฉพาะการปรับปรุงระบบจัดเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม การขยายฐานภาษี การผลักดันทุกคนเข้าระบบภาษี รวมทั้งทบทวนมาตราการรายจ่ายภาษี 3) เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรทางการศึกษา และพัฒนานโยบายลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ควบคู่ไปกับการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ 4) บูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านสุขภาพเพื่อวางแผนกำลังคนด้านสุขภาพ และสร้างระบบเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกองทุนในระบบประกันสุขภาพให้สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกัน และ 5) เชื่อมโยงข้อมูลสวัสดิการกับฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ และประเมินผลกระทบมาตรการด้านสวัสดิการสังคมเพื่อนำมาออกแบบนโยบายให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
ลำดับถัดมา Dr.Nadia Belhaj Hassine Belghith นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสด้านความยากจน ธนาคารโลก นำเสนอข้อค้นพบสำคัญในการปิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำและการจ้างงานในไทย คือ 1) ไทยประสบความสำเร็จในการลดปัญหาความยากจนอย่างต่อเนื่อง แต่ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ยังคงอยู่ระดับสูง ติดอันดับ 13 ประเทศที่มีความไม่เท่าเทียมกันมากที่สุดจาก 63 ประเทศ และเป็นอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออก 2) สาเหตุเชิงโครงสร้างของความเหลื่อมล้ำ เกิดจากภาวะโภชนาการในวัยเด็ก ปัญหาเด็กน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ในกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย และครัวเรือนที่มารดามีการศึกษาต่ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็ก การเข้าเรียน การพัฒนาทักษะอาชีพ รวมทั้งช่องว่างระหว่างเพศในตลาดแรงงานมีส่วนทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันโดยการมีส่วนร่วมของแรงงานผู้หญิงยังต่ำกว่าผู้ชาย 3) ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ส่งผลให้ครัวเรือนยากจนมีการบริโภคอาหารลดลง การจ้างงานทักษะต่ำลดลง คนงานที่มีการศึกษาน้อยเปลี่ยนมาทำเกษตรกรรม มีปัญหาการสูญเสียโอกาสการเรียนรู้ในกลุ่มเด็กจากครัวเรือนที่มีรายได้น้อย โดยข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับการแก้ไขปัญหาในระยะสั้น เช่น การฟื้นฟูการเรียนรู้ในกลุ่มเด็ก นโยบายการคุ้มครองทางสังคม การรับมือสภาวะเงินเฟ้อและหนี้สินครัวเรือน เป็นต้น ระยะกลาง อาทิ การพัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบ Inclusive Economy หรือระบบเศรษฐกิจที่เน้นให้การพัฒนากระจายได้อย่างทั่วถึง การฝึกอบรมพัฒนาทักษะแรงงาน การจ้างงาน ระบบเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม การยกระดับทักษะแรงงาน การส่งเสริมการเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษา การลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ การพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษาให้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน การส่งเสริมให้ผู้หญิงเข้าสู่ตลาดแรงงาน การจัดชั่วโมงการทำงานให้มีความยืดหยุ่น การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการลดช่องว่างการเข้าถึงบริการสาธารณูปโภคต่าง ๆ
ต่อมาเป็นการนำเสนอมุมมองปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำผ่านสื่อวิดีทัศน์จากตัวแทนนักศึกษาจากสถาบันการศึกษาและสะท้อนภาพความเหลื่อมล้ำจากมุมมองที่สนใจ ดังนี้ 1) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สะท้อนมุมมองความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาของเด็กในชนบท ที่เป็นผลจากการจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษา และส่งผลต่อโอกาสการเข้าถึงการศึกษาและการจ้างงาน 2) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฉายภาพความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ระหว่างนักศึกษาที่ฐานะทางเศรษฐกิจดีกับแรงงานที่รายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ รวมทั้งความพร้อมด้านที่อยู่อาศัย การเข้าถึงบริการสุขภาพ สวัสดิการทางสังคม การวางแผนเกษียณ 3) วิทยาลัยโลกคดีศึกษา (The School of Global Studies) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงความเหลื่อมล้ำว่า เป็นผลจากการกระจายรายได้และการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เหมาะสม ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเกิดจากการจัดสรรงบประมาณหรือทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคม 4) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มองความเหลื่อมล้ำที่เกิดในกลุ่ม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งงบประมาณที่ใช้ในการพัฒนาทุนมนุษย์มีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับด้านความมั่นคงที่มีสัดส่วนสูง โดยเฉพาะด้านการศึกษาหรือสาธารณสุข จึงไม่สามารถมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำได้ชัดเจน และ 5) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ฉายภาพความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาจากการจัดสรรงบประมาณโดยโรงเรียนขนาดใหญ่จะได้รับงบประมาณสูงกว่าโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ชนบท ส่งผลให้นักเรียนในชนบทมีความรู้พื้นฐานน้อยกว่านักเรียนจากโรงเรียนในพื้นที่เมือง ซึ่งภายหลังจากจบการนำเสนอผู้เข้าร่วมประชุมได้เสนอความเห็นให้เพิ่มเติมจากมุมมองของกลุ่มแรงงานโดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ แรงงานข้ามชาติที่ไม่สามารถเข้าสู่ระบบหลักประกันทางสังคม รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุที่ขาดหลักประกันทางสังคม เพื่อให้สามารถสะท้อนมุมมองความเหลื่อมล้ำได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
จากนั้นเป็นการสรุปภาพรวมทั้งหมดของการประชุมโดย ผศ.ดร.ธร ปีติดล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำเชื่อมโยงกับประเด็นเชิงโครงสร้างมากมายและมีความทับซ้อนของปัญหา โดยปัญหาความยากจนระดับพื้นที่มีการซ้อนทับกันระหว่างปัญหาชาติพันธุ์ ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ การเข้าไม่ถึงบริการสาธารณะของภาครัฐทั้งด้านการศึกษาและบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ นอกจากนี้วงจรความเหลื่อมล้ำจะเกิดการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งการมองภาพความเหลื่อมล้ำ นอกจากพิจารณาด้านโอกาสแล้วจำเป็นต้องคำนึงถึงโครงสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจด้วย พร้อมทั้งกล่าวว่า ควรพัฒนาแนวทางใหม่ ๆ ในการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ อาทิ การจัดสรรงบประมาณเพื่อลดความเสียเปรียบในกลุ่มที่เสียเปรียบทางสังคม และอีกด้านคือ มิติความเป็นธรรมของสังคมควรพิจารณาทั้งระบบอย่างเป็นองค์รวม เช่น การจัดการตลาดแรงงาน การกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจ เป็นต้น พร้อมกับฝากให้ทุกภาคส่วนเสนอมุมมองและแนวทางใหม่ ๆ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทยหรือการลงทุนด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ทั้งนี้ สามารถ download รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2565 ฉบับสมบูรณ์ ได้ที่เว็บไซต์ สศช. https://www.nesdc.go.th/ewt_dl_link.php?nid=14557&filename=Social_Poverty
ข่าว : กองพัฒนาข้อมูลและตัวชี้วัดสังคม
ภาพ : เมฐติญา วงษ์ภักดี |