ข่าวสาร
ข่าวสาร/กิจกรรม
ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.) ครั้งที่ 2/2565
วันที่ 21 ต.ค. 2565 (จำนวนผู้เข้าชม  36)
กพศ. ประกาศกิจการเป้าหมายสำหรับส่งเสริมการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค และเพิ่มเติมกิจการและสิทธิประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน 10 แห่ง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนที่จะทำให้ประเทศไทยได้ใช้ศักยภาพของพื้นที่ได้อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและดำเนินธุรกิจ 

วันนี้ (21 ตุลาคม 2565) พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.) ครั้งที่ 2/2565 โดยมีนายดนุชา  พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กล่าวรายงานการประชุม ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล

พลเอก ประยุทธ์ฯ กล่าวว่า การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่จะพัฒนาฐานการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่ให้เติบโต เพื่อช่วยกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคและสนับสนุนการพลิกโฉมประเทศไทย ซึ่งรวมถึงการเพิ่มโอกาสให้กับเศรษฐกิจฐานรากให้ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาอย่างทั่วถึง ตลอดจนการเชื่อมโยงและกระจายประโยชน์ไปยังพื้นที่โดยรอบและจังหวัดอื่นๆ ในภาค ซึ่งในวันนี้ได้พิจารณาในเรื่องสำคัญโดยเฉพาะการกำหนดกิจการเป้าหมายสำหรับส่งเสริมการลงทุนเป็นการเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษและส่งเสริมการพัฒนาสภาพแวดล้อม (Ecosystem) ให้พร้อมเพื่อดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชน โดยที่ประชุม กพศ. มีมติเห็นชอบเรื่องสำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่
1. การกำหนดกิจการเป้าหมายและสิทธิประโยชน์สำหรับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค คลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมายสำหรับพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ทั้ง 4 ภาค เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเป็นการเฉพาะและเหมาะสมตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เสนอคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพิจารณากำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษตามแนวทางที่ กพศ. ให้ความเห็นชอบต่อไป โดยมีพื้นที่และคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย ดังนี้
(1) ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor : NEC – Creative LANNA) ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง ส่งเสริมคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ 1) อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 2) อุตสาหกรรมดิจิทัล 3) อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) และ 4) อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร 
(2) ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeastern Economic Corridor : NeEC – Bioeconomy) ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และหนองคาย ส่งเสริมคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ 1) อุตสาหกรรมชีวภาพ และ 2) อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร
(3) ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง - ตะวันตก (Central - Western Economic Corridor : CWEC) ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครปฐม สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี ส่งเสริมคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ 1) อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร และ 2) อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
(4) ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (Southern Economic Corridor : SEC) ในพื้นที่จังหวัดชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ส่งเสริมคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ 1) อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร 2) อุตสาหกรรมชีวภาพ และ 3) อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism)

นอกจากนี้ กพศ. ได้เห็นชอบข้อเสนอมาตรการ/ปัจจัยสนับสนุนที่จะให้แก่ผู้ประกอบกิจการในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อส่งเสริมสภาพแวดล้อม (Ecosystem) ให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจและขยายการลงทุน โดยมีมาตรการที่สำคัญ ได้แก่ (1) การให้สิทธิประโยชน์ (ทางภาษีและมิใช่ภาษี) (2) การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (3) การพัฒนากำลังคน ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ประกอบการ (4) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญและสิ่งอำนวยความสะดวก (5) การสนับสนุนเงินทุน และ (6) การแก้ไขกฎระเบียบเพื่อส่งเสริมการประกอบกิจการ รวมทั้งกำหนดมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมรายคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการต่อไป

2. การทบทวนกิจการเป้าหมายและสิทธิประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน 10 แห่ง (ตาก สงขลา สระแก้ว ตราด เชียงราย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร กาญจนบุรี และนราธิวาส) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และแนวโน้มด้านเศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะ SMEs สรุปดังนี้
(1) เพิ่มเติมประเภทกิจการส่งเสริมการลงทุนอีก 17 ประเภทกิจการ (จาก 72 ประเภทกิจการ เป็น 89 ประเภทกิจการ) โดยตัวอย่างประเภทกิจการที่เสนอเพิ่มเติม เช่น กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ กิจการบริการสาธารณสุขด้านแพทย์แผนไทย กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานไฟฟ้าและไอน้ำจากพลังงานหมุนเวียน เป็นต้น
(2) ปรับมาตรการสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน (โดยจะเริ่มปี 2566) ให้สิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนใน 13 กลุ่มกิจการ 89 ประเภทกิจการ ทั้ง 10 เขตพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน โดยไม่กำหนดระยะเวลาสิ้นสุด 

โดย กพศ. ได้มอบหมายให้ BOI เสนอคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพิจารณากำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนตามแนวทางที่ กพศ. ให้ความเห็นชอบ และมอบหมายอนุกรรมการภายใต้ กพศ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน/การประกอบธุรกิจ (Business Ecosystems) อาทิ การเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการศูนย์ OSS การลดขั้นตอนอนุมัติอนุญาตในการจัดตั้งและประกอบธุรกิจ

3. การพิจารณาผลการคัดเลือกผู้ลงทุนในพื้นที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก เห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนให้เป็นผู้ได้รับสิทธิพัฒนาในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก ตามข้อเสนอของคณะทำงานสรรหา คัดเลือก เจรจา และกำกับติดตามการดำเนินการของผู้ลงทุนในที่ดินราชพัสดุที่กำหนดเป็นพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยมีรูปแบบโครงการลงทุนเป็นการจัดสรรพื้นที่ให้เช่าโดยเป็นผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน มูลค่ารวมประมาณ 830 ล้านบาท เนื้อที่ประมาณ 1,076 ไร่ ประกอบด้วย พื้นที่อุตสาหกรรม (Factory Zone) ร้อยละ 53 (564 ไร่) พื้นที่สำนักงาน/ศูนย์จำหน่ายสินค้า/ศูนย์ประชุม (Amenity Core) ร้อยละ 5 (57 ไร่) และพื้นที่สีเขียว (Green Space) ร้อยละ 15 (159 ไร่) และให้กรมธนารักษ์พิจารณาดำเนินการตามกฎระเบียบและขั้นตอนของทางราชการต่อไป

ข่าว : กองยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่
ภาพ : เมฐติญา  วงษ์ภักดี/จักรพงศ์  สวภาพมงคล/สำนักโฆษก ทำเนียบรัฐบาล

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 962 ถนนกรุงเกษม แขวงวัดโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ 10100
โทรศัพท์ : 02-2804085 (40 คู่สาย) แฟกซ์ : 0-2281-3938 E-mail : pr@nesdc.go.th , webmaster@nesdc.go.th
นโยบายเว็บไซต์ | นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล | นโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของเว็บไซต์