ข่าวสาร
ข่าวสาร/กิจกรรม
คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ แถลงข่าว เรื่อง การดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ในรอบปีที่ผ่านมา
วันที่ 27 พ.ค. 2565 (จำนวนผู้เข้าชม  28)
วันนี้ (27 พฤษภาคม 2565) คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้จัดแถลงข่าว เรื่อง "การดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ในรอบปีที่ผ่านมา” โดยมีนาย ภักดี  โพธิศิริ ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นประธานการแถลงข่าวร่วมกับกรรมการและผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ พลอากาศเอกวีรวิท  คงศักดิ์ นายมานะ  นิมิตรมงคล นายปฏิภาณ  จุมผา รองผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์กรมหาชน) นายภูเทพ  ทวีโชติธนากุล ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ นายกฤษณ์  กระแสเวส  ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) และนายสิน  สื่อสวน ผู้แทนเครือข่ายภาคประชาชน ซึ่งมี นางเสาวณีย์ แสงสุพรรณ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน สศช. เป็นกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ

นายภักดี โพธิศิริ ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ชี้แจงว่าแผนการปฏิรูปประเทศ ได้มีประกาศราชกิจจานุเบกษาเพื่อบังคับใช้ครั้งแรก เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2561 และได้ปรับปรุงโดยประกาศใช้แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ รวมทั้งได้มุ่งเน้นการขับเคลื่อนกิจกรรมปฏิรูปที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ หรือ "กิจกรรม Big Rock” ซึ่งถูกกำหนดไว้จำนวน 5 กิจกรรม ในแต่ละด้านของแผนการปฏิรูปประเทศ โดยสามารถสรุปผลการดำเนินการได้ ดังนี้

กิจกรรมปฏิรูปที่ 1 การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการต่อต้านการทุจริต (สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน))

การส่งเสริมให้ภาคประชาชนมีบทบาทเป็นแกนหลักในการต้านภัยการทุจริต โดยดําเนินการผ่านกลไกเครือข่ายของภาคประชาชน เครือข่ายองค์กรชุมชน ภาคีภาคีภาคประชาสังคม เพื่อป้องกันการทุจริตในพื้นที่ของตน เน้นการดำเนินการในรูปแบบระเบิดจากข้างล่างสู่ข้างบน หรือ Bottom up approach โดยมีกิจกรรมสำคัญ 4 ด้าน คือการปลุกสำนึกพลเมือง การสร้างระบบพื้นที่เปิดเผยโปร่งใส การสร้างธรรมาภิบาลองค์กรชุมชน และการปฏิบัติการต้านทุจริต  

ในปี 2564 มีการดำเนินการใน 5 จังหวัดนำร่อง 25 ตำบล เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเพื่อเป็นกลไกในการต่อต้านการทุจริตในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งจัดทำคู่มือการมีส่วนร่วมและช่องทางการร้องเรียนของภาคประชาชน 

ในปี 2565 มีการจัดตั้งคณะทำงานภาคประชาชน (ผู้ก่อการดี) 17 จังหวัด 171 ตำบล เพื่อเป็นกลไกหลักในการทำงาน รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการในพื้นที่เป้าหมายและขยายความร่วมมือกับภาคีพัฒนาต่างๆ ที่ดำเนินการในระดับพื้นที่ เช่น ชมรม STRONG คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประสานงานและร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อสร้างช่องทางการร้องเรียน และแจ้งเบาะแสความไม่โปร่งใสในระดับพื้นที่ การจัดทำแผน 5 ปีการเฝ้าระวังป้องกันและต่อต้านการทุจริตโดยเครือข่ายภาคประชาชนเป็นแกนหลัก และจะให้ทุกเครือข่ายภาคประชาชนดำเนินงานด้านการป้องกันและต่อต้านการทุจริตควบคู่กับภารกิจปกติของเครือข่าย

กิจกรรมปฏิรูปที่ 2 การพัฒนาการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและระบบคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสการทุจริตที่มีประสิทธิภาพ (สำนักงาน ป.ป.ช.)

มีการผลักดันการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารโดยไม่ต้องร้องขอและได้มาตรฐานสากล ควบคู่กับการเตรียมช่องทางให้ผู้แจ้งเบาะแส สามารถแจ้งข้อมูลได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และมีระบบการแจ้งผล ติดตามให้กับผู้ร้องเรียนหรือผู้แจ้งเบาะแสทราบตลอดจนจัดให้มีกฎหมายเพื่อคุ้มครองและเยียวยาผู้แจ้งเบาะแสอย่างเหมาะสม โดยสรุปผลการดำเนินการได้ ดังนี้


ผลักดันการออกกฎหมายข้อมูลสาธารณะที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่ายโดยไม่ต้องร้องขอ โดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีการศึกษาทบทวน พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 และกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงง่าย และเสนอต่อคณะรัฐมนตรี นอกจากนั้น ได้ผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐเปิดเผยข้อมูลอย่างครบถ้วนบนระบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อประชาชนและสื่อมวลชนสามารถเข้าดูและตรวจสอบได้ง่ายทางอินเตอร์เน็ต โดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ซึ่งได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว 

พัฒนาช่องทางการแจ้งเบาะแสและข้อมูลเชิงลึกในรูปแบบที่หลากหลาย และจัดทำระบบปกปิดตัวตน เพื่อให้ผู้แจ้งเบาะแสเข้าถึงได้โดยสะดวก มีความเชื่อมั่นในเรื่องการเก็บรักษาความลับ และความปลอดภัย ตลอดจนจัดระบบให้มีการแจ้งผลการติดตามให้กับผู้ร้องเรียนได้รับทราบ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบบริหารจัดการผู้แจ้งเบาะแส และปรับปรุงระบบรับแจ้งเบาะแสทางเว็บไซต์

บังคับใช้กฎหมายคุ้มครองพยานและผู้แจ้งเบาะแส รวมถึงการให้ค่าตอบแทนและชดเชยค่าใช้จ่ายให้กับผู้แจ้งเบาะแส ให้มีผลทางปฏิบัติอย่างจริงจัง รวมทั้งพัฒนาระบบเปิดเผยเรื่องร้องเรียนและคดี (เรื่องที่อยู่ระหว่างไต่สวน) โดยดำเนินการพัฒนาระบบแล้วเสร็จ แต่ปัจจุบันยังไม่ได้เปิดใช้งานเนื่องจากอยู่ระหว่างพิจารณากฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ก่อนจะเปิดใช้งานต่อไป และพัฒนาระบบติดตามการดำเนินงานเรื่องร้องเรียนและคดี ซึ่งได้ดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดใช้งานเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ร้องสามารถติดตามความคืบหน้าในการดำเนินงานเรื่องร้องเรียนและคดีได้ผ่านหน้าเว็บไซต์สำนักงาน ป.ป.ช. (www.nacc.go.th)

จัดทำกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP Law) เพื่อห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐและหัวหน้าหน่วยงานของรัฐฟ้องร้องดำเนินคดีกับบุคคลที่แสดงความเห็นหรือเปิดโปงเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบเพื่อปกป้องคนที่ออกมาเปิดโปงหรือแสดงความเห็นโดยสุจริตต่อการทุจริตคอร์รัปชันและเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมเป็นหูเป็นตา ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา 

กิจกรรมปฏิรูปที่ 3 การพัฒนากระบวนการยุติธรรมที่รวดเร็ว โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ ในการดำเนินคดีทุจริตทั้งภาครัฐและภาคเอกชน (สำนักงาน ป.ป.ช.)

มีการดำเนินการผลักดันกระบวนการยุติธรรมให้มีความรวดเร็ว โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติในการดำเนินคดีทุจริตทั้งภาครัฐและเอกชน เร่งดำเนินการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อการอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ โดยส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม ผ่านการสนับสนุนให้มีมาตรการลงโทษทางสังคม (Social Sanction) ปลูกจิตสำนึกให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม และบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และยึดมั่นในคุณธรรม ตลอดจนเร่งปรับปรุงกระบวนการและกลไกในการดำเนินคดีทุจริตของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยสรุปผลการดำเนินการได้ ดังนี้ 

ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ประชาชนให้รับรู้ถึงขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม สร้างการมีส่วนร่วมให้มากขึ้น และสนับสนุนให้มีการใช้มาตรการลงโทษทางสังคม (Social Sanction) ผ่านการเผยแพร่ข้อมูลขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยมีการได้ดำเนินการผลิตและเผยแพร่ข้อมูลขั้นตอนกระบวนการในภารกิจของสำนักงาน ป.ป.ช. 

ส่งเสริมการมีส่วนร่วมภาคประชาชนตั้งแต่กระบวนการออกกฎหมายทุกระดับ และการเฝ้าระวังการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมทุกขั้นตอน โดยสนับสนุนดำเนินงานของชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต ซึ่งได้มีการดำเนินการในหลายพื้นที่ โดยมีโครงการที่ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแส อาทิ 1) การร่วมกันตรวจสอบคุณภาพอาหารกลางวันและอาหารเสริม (นม) ของสถานศึกษา  2) การกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากร ธรรมชาติ 3) การสอดส่องดูแลการรุกล้ำลำน้ำและพื้นที่สาธารณะ 4) การติดตั้งป้ายโฆษณาที่ผิดกฎหมาย 5) การติดตามโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน (เช่น ถนน สะพาน อาคาร ประปา ฯลฯ) และ 6) การจับตามองความเสี่ยงในการจัดซื้อจัดจ้างทั่วไปในพื้นที่ 

กำหนดบทลงโทษกับหน่วยงานและหัวหน้าหน่วยงานที่ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ เพื่อเป็นการสนับสนุนประชาชนให้สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม โดยคาดว่าจะให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2565

สำรวจความเห็นของประชาชนในการได้รับความเป็นธรรม ความพึงพอใจ และเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจากการสำรวจปี 2564 ความพึงพอใจต่อการดำเนินงานของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม เฉลี่ยอยู่ที่ 3.86 คะแนน ความเชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมในการปราบปรามการทุจริตโดยรวม เฉลี่ยอยู่ที่ 3.87 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน

ส่งเสริมให้ทุกหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมดำเนินคดีตามกรอบเวลาของกฎหมายในมาตรฐานเดียวกันอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันได้จัดทำแผนงานจัดทำมาตรฐานขนาดของคดีและระยะเวลาในการดำเนินคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ และแผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของกระบวนการยุติธรรมในการดำเนินคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมถึงแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อเป็นกลไกในการพิจารณากำหนดขนาดของคดีและระยะเวลาในการดำเนินคดีของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน

การบูรณาการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตฯ การติดตามผลการดำเนินคดี และยกระดับการทำงานบนฐานดิจิทัล โดยมีการประสานและบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ควบคู่ไปกับการพัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูลและระบบฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงานปราบปรามการทุจริต รวมถึงการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (Data Center)

ส่งเสริมการดำเนินงานของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมโดยยึดหลักคุณธรรม ซื่อสัตย์ สุจริต การบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี โดยมีการแผนงานมาตรการควบคุม กำกับ ติดตามการบริหารจัดการโดยยึดหลักคุณธรรม ซื่อสัตย์สุจริต การบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งทุกหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมมีการดำเนินงานตามแผนงานแล้ว นอกจากนี้ สำนักงาน ป.ป.ช. ยังได้ร่วมกับสำนักงาน ก.พ. ผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐนำมาตรฐานทางจริยธรรมเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับส่วนรวมและให้หน่วยงานของรัฐ ไปปรับใช้ในทางปฏิบัติ โดยเริ่มจาก 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงศึกษาธิการ

กิจกรรมปฏิรูปที่ 4 การพัฒนาระบบราชการไทยให้โปร่งใส ไร้ผลประโยชน์ (สำนักงาน ป.ป.ท.)
มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐประพฤติมิชอบ ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ผ่านการเสริมสร้างจริยธรรมและรักษามาตรฐานวินัยข้าราชการให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อขจัดพฤติกรรมการแสวงหาประโยชน์จากการใช้อำนาจโดยมิชอบ ด้วยการเรียกรับสินบน สินน้ำใจ การใช้ทรัพย์สินของทางราชการและงบประมาณเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง โดยสรุปผลการดำเนินการได้ ดังนี้ 

หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยประกาศตนเป็นหน่วยงานที่เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคนไม่รับของขวัญและของกำนัลทุกชนิดจากการปฏิบัติหน้าที่ (No Gift Policy) ในปีงบประมาณ 2565 ได้ขับเคลื่อนนโยบาย No Gift Policy ในการประเมิน ITA ปี และมีหน่วยงานประกาศตนเป็นหน่วยงานที่เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคนไม่รับของขวัญและของกำนัลทุกชนิดจากการปฏิบัติหน้าที่ (No Gift Policy) จำนวนทั้งสิ้น 8,303 หน่วยงาน ทั่วประเทศ

จัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคลภาครัฐในระบบคุณธรรม และเร่งรัดการกำหนดวิธีการประเมิน "สัตบุรุษ” และบังคับใช้กับหัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงาน ก.พ. จัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคลภาครัฐในระบบคุณธรรม 

จัดทำกฎหมายการป้องกันและแก้ไขปัญหาการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับส่วนรวมต่อรัฐบาล ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ช. อยู่ระหว่างการจัดทำร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวร่วมกับสำนักงาน ก.พ.

จัดทำพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐต่อหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐที่ตนสังกัดหรือปฏิบัติงานอยู่ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการตรวจสอบการร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้แก้ไข มาตรา 130 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ส่งผลให้การดำเนินการล่าช้ากว่าแผน แต่ยังคงต้องมีการผลักดันต่อไปในอนาคต

หัวหน้าหน่วยงานของรัฐบริหารความเสี่ยงเกี่ยวกับการประพฤติมิชอบ และร่ำรวยผิดปกติของเจ้าหน้าที่รัฐในหน่วยงาน และบังคับใช้มาตรการทางจริยธรรม วินัย และอาญาต่อผู้กระทำผิดอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม พร้อมทั้งนำหลักความรับผิดชอบในการกระทำ (Accountability)   มาบังคับใช้กับหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ  สำนักงาน ป.ป.ท. ได้ดำเนินงานร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงาน ป.ป.ช. โดยร่วมกันจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับพฤติการณ์หรือช่องทางความเสี่ยงการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐและการร่ำรวยผิดปกติ การดำเนินการตามมาตรฐานจริยธรรม การบังคับใช้มาตรการทางจริยธรรม วินัย และอาญาต่อผู้กระทำความผิด และได้แจ้งข้อมูลดังกล่าว ไปยังหัวหน้าหน่วยงานของรัฐแล้ว  

กิจกรรมปฏิรูปที่ 5 การพัฒนามาตรการสกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบายในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ (สำนักงาน ป.ป.ท.)
มีการจัดทำการประเมินความเสี่ยงต่อการทุจริตและมาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงต่อการทุจริตมาใช้ในการริเริ่มและดำเนินโครงการที่มีวงเงินสูงตั้งแต่ 500 ล้านบาท หรือ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป หรือโครงการที่มีผลกระทบในวงกว้างต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคง เพื่อป้องกันการทุจริตเชิงนโยบาย (Policy Corruption) ที่ก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งในด้านทรัพยากรที่ใช้ในการพัฒนา (เงินงบประมาณ เงินนอกงบประมาณ เงินกู้ยืม และอื่น ๆ โดยสรุปผลการดำเนินการได้ ดังนี้

จัดทำคู่มือ : การประเมินความตามเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ เสนอต่อ ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) และคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ เพื่อบังคับใช้ต่อหน่วยงานที่ขอรับงบประมาณ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

การตรวจ ติดตามประเมินผล และการจัดทำรายงานสรุปผล สำนักงาน ป.ป.ท. ร่วมกับหน่วยงานตรวจสอบ (สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.)) ดำเนินการตรวจติดตามการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และจัดทำรายงานผลการตรวจ ติดตาม การดำเนินโครงการฯ ส่งรายงานผลการตรวจสอบติดตามมายังสำนักงาน ป.ป.ท. เพื่อจัดทำรายงานสรุปผลเสนอ ศอตช. และ ครม. เพื่อรับทราบต่อไป

การขยายผลการจัดทำการประเมินความตามเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ สำนักงาน ป.ป.ท. จะได้วิเคราะห์ผลการขับเคลื่อนในปี พ.ศ. 2565 และ 2566 เพื่อนำผลการขับเคลื่อน รวมทั้ง ปัญหา อุปสรรค และข้อค้นพบมากำหนดแนวทางการดำเนินการในปี 2567 ให้สามารถเป็นเครื่องมือในการสกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบายในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


ประเด็นกฎหมายตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ฉบับปรับปรุง)
จากการขับเคลื่อนและผลักดันประเด็นกฎหมายตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ฉบับปรับปรุง) มีจำนวนทั้งสิ้น 10 ฉบับ ซึ่งสามารถสรุปผลการดำเนินการหลังสิ้นสุดแผนการปฏิรูปประเทศได้ ดังนี้

กฎหมายแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างการดำเนินการ จำนวน 6 ฉบับ ได้แก่ 1) การปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการให้สินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐและรางวัลจากการแจ้งเบาะแส 2) การจัดทำกฎหมายเกี่ยวกับการกำหนดความผิดของนิติบุคคล และผู้ร่วมกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ 3) การปรับปรุงกฎหมายของสำนักงาน ป.ป.ท. โดยให้นำเรื่อง การส่งเสริมการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ 4) การเร่งรัดการจัดทำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ การขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ. …. 5) การปรับปรุงพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 และ 6) การปรับปรุงระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐ

กฎหมายที่จะต้องดำเนินการผลักดันต่อหลังจากปี 2565 จำนวน 4 ฉบับ ได้แก่ 1) การแก้ไขพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการพ.ศ. 2540 ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 59 และมาตรา 253 2) การเร่งรัดการจัดทำพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐต่อหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐที่ตนสังกัดหรือปฏิบัติงานอยู่ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการตรวจสอบการร่ำรวยผิดปกติ 3) การจัดทำกฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคลในระบบคุณธรรมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 76 วรรคสอง ให้มีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่และพนักงานของรัฐด้วยระบบคุณธรรม และ 4) การปรับปรุงระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐ

-------------------------

ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ
ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
27 พฤษภาคม 2565











สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 962 ถนนกรุงเกษม แขวงวัดโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ 10100
โทรศัพท์ : 02-2804085 (40 คู่สาย) แฟกซ์ : 0-2281-3938 E-mail : pr@nesdc.go.th , webmaster@nesdc.go.th
นโยบายเว็บไซต์ | นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล | นโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของเว็บไซต์