เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ทางช่อง 9 MCOT HD เผยความคืบหน้าและผลการดำเนินแผนงานหรือโครงการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด 19 ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ เยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน
เลขาธิการ สศช. กล่าวว่า ในภาพรวมโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมใน พ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้าน ที่มีวงเงิน 400,000 ล้านบาท ถ้านับจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเงินกู้จนถึงขณะนี้ (27 กรกฎาคม 2564) นั้น ขณะนี้มีงบประมาณเหลืออยู่ประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ได้นำงบประมาณไปใช้ในเรื่องการเยียวยาและการสาธารณสุข เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่
สำหรับในส่วนที่มีการอนุมัติโครงการไปแล้วประมาณ 2-300 โครงการ ส่วนใหญ่จะดำเนินการใน 2 ลักษณะ คือ ลักษณะแรก เป็นการจ้างงานตรง ซึ่งได้อนุมัติไปตั้งแต่ช่วงประมาณปลายปี 2563 โดยเริ่มมีการจ้างงานตรง ซึ่งพุ่งเป้าไปที่นักศึกษาจบใหม่ หรือคนที่ว่างงานและกลับไปอยู่ในที่พื้นที่ เป็นการจ้างงานแบบกระจายไปในหลายพื้นที่ ผ่านโครงการพัฒนาตำบลแบบบูรณาการ หรือโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ (1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย) หรือโครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ด้านสัตว์ป่า
ลักษณะที่สอง เป็นการสร้างงานสร้างอาชีพในพื้นที่ เป็นโครงการระยะยาวที่ช่วยให้คนในพื้นที่ โดยเฉพาะเกษตรกร ให้มีความมั่นคงในด้านอาชีพ มีปัจจัยในการผลิตที่เพียงพอในการนำไปใช้ในการผลิตด้านการเกษตรต่อไป เช่น โครงการเกี่ยวกับการทำปุ๋ย มีการรวมกลุ่มกันทำปุ๋ยเฉพาะสำหรับพื้นที่นั้น มีการตรวจสอบคุณภาพดินและทำปุ๋ยที่เหมาะสม หรือโครงการ โคก หนอง นา โมเดล ซึ่งเป็นโครงการที่มีลักษณะในการสร้างความมั่นคงทางด้านอาชีพในระยะยาว
ในเวลานี้ การดำเนินงานที่เห็นผลได้ชัดคือเรื่องการจ้างงาน เท่าที่ดูตัวเลขการจ้างงานขณะนี้อยู่ที่ 3-4 แสนราย ทำให้อย่างน้อยคนมีรายได้และมีการใช้จ่าย สำหรับผลกระทบกับเศรษฐกิจภาพรวมนั้น ในแง่ของการบริโภคสามารถช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่งโดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชน อีกส่วนหนึ่งที่อยู่นอกเหนือแผนฟื้นฟูเป็นเรื่องของการกระตุ้นการบริโภคโดยตรง เช่น โครงการคนละครึ่ง โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งส่งผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจในภาพใหญ่ค่อนข้างมาก
เลขาธิการ สศช. กล่าวว่าต่อไปว่า สำหรับการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในระยะต่อไป รัฐบาลได้ออก พ.ร.ก. เงินกู้ 500,000 ล้านแล้ว ในส่วนนี้จะมีเงินสำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจประมาณ 170,000 ล้านบาท ด้วยสถานการณ์ขณะนี้มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ละลอกใหม่ที่มีผลกระทบกับประชาชนวงกว้างมาก ซึ่งต้องเร่งหารือกับหน่วยงานที่ดำเนินโครงการอยู่แล้ว โดยต้องประเมินโครงการก่อนว่าผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร ซึ่งอาจเป็นการต่อโครงการออกไปอีก 1 ปี หรือจะขยายขนาดของโครงการออกไป
อีกส่วนหนึ่งที่ต้องดูแลอย่างจริงจังคือ SMEs ซึ่งได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการที่เน้นช่วยเหลือประชาชนโดยตรง ในขณะที่ผู้ประกอบการยังไม่ได้รับการช่วยเหลือมากนัก ในระยะถัดไปสภาพัฒน์กำลังหารือร่วมกับทีมเศรษฐกิจ กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าจะเริ่มดำเนินโครงการที่จะช่วยผู้ประกอบการ SMEs ทั่วประเทศที่ได้รับผลกระทบอยู่ในลักษณะอย่างไร โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว และหากสถานการณ์เริ่มดีขึ้นแล้ว เศรษฐกิจเริ่มเดินหน้าได้แล้ว เราควบคุมการระบาดได้ มีวัคซีนเข้ามาตามกำหนด อาจจะต้องหาวิธีการที่จะ Jump-Start มาใช้ในภาคธุรกิจที่ได้รับกระทบ
เลขาธิการ สศช. กล่าวในตอนท้ายว่า จากการประเมินผลโครงการที่ผ่านมา พบว่าช่วงแรกยังมีความล่าช้าเนื่องจากต้องมีการเตรียมระบบการเบิกจ่าย ระบบการเชื่อมโยงข้อมูลกับทางสำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง เมื่อทุกอย่างเข้าที่จึงสามารถเบิกจ่ายได้มากขึ้น อาทิ โครงการที่เป็นเรื่องของปุ๋ยสามารถเบิกจ่ายได้ประมาณ 70% หรือโครงการของกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่ต้องการซื้ออุปกรณ์เครื่องมือในการผลิตปุ๋ย สามารถเบิกจ่ายได้ 90% ดังนั้นในภาพรวมของผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง โครงการต่าง ๆ มีความก้าวหน้า มีการจ้างงานมากขึ้น กลุ่มเกษตรกรเริ่มเข้าใจว่าการเกษตรไม่จำเป็นต้องทำมากแต่ต้องทำให้มีคุณภาพ โดยเริ่มจากเล็ก ๆ แล้วค่อยขยายออกไป ซึ่งในระยะยาวจะเป็นผลดีต่อความมั่นคงในด้านอาชีพการเกษตร
ข่าว : จักรพงศ์ สวภาพมงคล
ภาพ : เมฐติญา วงษ์ภักดี
|