สภาพัฒน์จัดระดมความคิดเห็นกลุ่มนักวิชาการและสถาบันการศึกษา ต่อ "กรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570)” เพื่อนำไปใช้ในการกำหนดแนวทางของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 พลิกโฉมประเทศไทย สู่เศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน พร้อมเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อออนไลน์ของ สศช. ในทุกช่องทาง
วันนี้ (2 เมษายน 2564) นายวิชญายุทธ บุญชิต รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมระดมความเห็นต่อ "กรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570)” กลุ่มนักวิชาการและสถานบันการศึกษา ณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) โดยมีนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิจากสาขาต่างๆ ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการภาครัฐ รวมถึงนักวิชาการจากกลุ่มสถาบันการศึกษา และสถาบันเกี่ยวกับการศึกษาวิจัย เข้าร่วมประชุมจำนวนประมาณ 60 คน
รองเลขาธิการฯ กล่าวว่า กระบวนการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ผ่านมา สศช. ได้ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการแสดงความคิดเห็นต่อการกำหนดทิศทางและแนวทางพัฒนาสำคัญของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง และในกระบวนการจัดทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 สศช. ยังคงมุ่งเน้นเปิดโอกาสให้ภาคีการพัฒนาและประชาชนทุกภาคส่วนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นต่อแผนฯ อย่างกว้างขวาง ทั้งในระดับพื้นที่ 18 กลุ่มจังหวัด เฉพาะกลุ่ม และทางสื่อออนไลน์ โดยจากนั้นจะรวบรวมความเห็นที่ได้มาประมวลและกลั่นกรองเป็นกรอบแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และเสนอสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนจะนำไปจัดทำรายละเอียดของแผนฉบับสมบูรณ์ต่อไป
สำหรับกรอบแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 นี้มีเป้าหมายเพื่อ "พลิกโฉมประเทศไทย สู่เศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน” โดยเปลี่ยนผ่านประเทศ หรือ transform ประเทศใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ (1) การเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจฐานทรัพยากรไปสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรมและองค์ความรู้ หรือการมุ่งสู่เศรษฐกิจมูลค่าสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (2) การเปลี่ยนผ่านจากสังคมที่มีเพียงบางกลุ่มที่เข้าถึงโอกาสไปสู่สังคมที่มีโอกาสสำหรับทุกคนและทุกพื้นที่ หรือการสร้างสังคมแห่งโอกาสและความเสมอภาค (3) การเปลี่ยนผ่านจากการผลิตและการบริโภคที่ทำลายสิ่งแวดล้อม ไปสู่วิถีชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความปลอดภัยหรือการเสริมสร้างวิถีชีวิตที่ยั่งยืน และ (4) การเปลี่ยนผ่านจากกำลังคนทักษะต่ำและภาครัฐที่ล้าสมัย ไปสู่กำลังคนและภาครัฐที่มีสมรรถนะสูง
จากนั้น นางนภัสชล ทองสมจิตร ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน สศช. นำเสนอ "ร่างกรอบแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13” ซึ่งกำหนดแนวทางและหมุดหมายการพัฒนาให้ตอบสนองกับบริบทการพัฒนาใน 4 ด้านดังกล่าว ซึ่งมีประเด็นที่จะให้ความสำคัญในช่วง 5 ปี ดังนี้ (1) ไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูปมูลค่าสูง (2) ไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณค่าและความยั่งยืน (3) ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน (4) ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง (5) ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุน และจุดยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค (6) ไทยเป็นฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและบริการดิจิทัลของอาเซียน (7) มุ่งลดความเหลื่อมล้ำระหว่างธุรกิจขนาดใหญ่และSMEs (8) มุ่งลดความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่ (9) มุ่งเพิ่มพลวัตการเลื่อนชั้นทางสังคมและลดความเหลื่อมล้ำเชิงรายได้และความมั่งคั่ง (10) ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ (11) ไทยสามารถปรับตัวและลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ (12) ไทยมีกำลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต และ (13) ไทยมีภาครัฐที่มีสมรรถนะสูง
ประชาชนทั่วไปสามารถแสดงความคิดเห็นต่อกรอบแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ของ สศช. ได้ทางเว็บไซต์ www.nesdc.go.th, Facebook สภาพัฒน์, Twitter สภาพัฒน์, Line สภาพัฒน์ Update, Email : plan13@nesdc.go.th แบบสอบถามออนไลน์ และตู้ ปณ.49 ปทฝ.หลานหลวง กรุงเทพฯ 10102
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
2 เมษายน 2564
|