ข่าวสาร/กิจกรรม
|
สศช. ร่วมกับ TDRI จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อนำเสนอผลการศึกษาแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมภายใต้การเป็นสังคมสูงวัยของประเทศไทย
วันที่ 26 ก.พ. 2568
|
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 นางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธานในการเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อนำเสนอผลการศึกษาแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมภายใต้การเป็นสังคมสูงวัยของประเทศไทย ที่ สศช. มอบหมายให้มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ดำเนินการศึกษา ณ ห้องแกรนด์พาโนรามา โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมจำนวน 132 คน อาทิ กรมกิจการผู้สูงอายุ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กองทุนการออมแห่งชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย สมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย บริษัท ยังแฮปปี้ จำกัด บริษัท บางกอกแนนนี่เซ็นเตอร์ จำกัด บริษัท เยือนเย็น วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด
รศช.วรวรรณฯ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในห้วงการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างประชากรที่ในอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะกลายเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด โดยจะมีสัดส่วนผู้สูงอายุสูงถึงร้อยละ 28 ของประชากรทั้งประเทศ ขณะที่วัยแรงงานจะลดเหลือเพียงร้อยละ 58 และวัยเด็กเหลือเพียงร้อยละ 14 ดังนั้น จึงเป็นโอกาสในการสร้าง"เศรษฐกิจสูงวัย หรือ Silver Economy” โดยการพัฒนาเศรษฐกิจสูงวัยต้องมอง 2 ด้าน ด้านแรก เป็นการมองโอกาสของธุรกิจที่จะเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงอายุในฐานะผู้บริโภคสินค้าและบริการ และด้านที่สอง เป็นการมองผู้สูงอายุในฐานะปัจจัยการผลิตที่ยังสามารถเป็นกำลังแรงงานในตลาดแรงงานได้ ซึ่ง สศช. จะได้นำความเห็นของผู้เข้าร่วมประชุมในวันนี้ไปปรับปรุงผลการศึกษา โดยเฉพาะการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เป็นรูปธรรมต่อไป
ต่อมา นายนณริฏ พิศลยบุตร ได้นำเสนอผลการศึกษา ครอบคลุม การให้นิยาม "เศรษฐกิจสูงวัย” ที่หมายถึง "กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ตอบสนองความจำเป็นและความต้องการของผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์และบริการที่ผู้สูงอายุใช้จ่ายโดยตรง และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการทำงานของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุจึงมีบทบาททั้งในฐานะผู้บริโภคที่มีความต้องการสินค้าและบริการเพื่อการดำรงชีวิต และในฐานะผู้ผลิตที่มีส่วนร่วมในการสร้างสินค้าและบริการให้กับสังคม” และเป็นกรอบในการศึกษาระบบนิเวศของเศรษฐกิจสูงวัย รวมทั้งความต้องการและบทบาทของผู้สูงอายุใน 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) pre aging (2) active elderly และ (3) non active elderly และบทบาทภาครัฐในการพัฒนาเศรษฐกิจสูงวัยให้เติบโตอย่างเต็มศักยภาพ
ด้านโอกาสในการผลิตสินค้าและบริการจะเกี่ยวข้องกับ 1) การสูงวัยในถิ่นที่อยู่ (aging in place) อาทิ กลุ่มสนับสนุนการมีสุขภาพที่ดี อาทิ สินค้า/บริการที่สนับสนุนการเลิกเหล้าและบุหรี่ การรับ - ส่งไปโรงพยาบาลผู้ให้การดูแล 2) กลุ่มการเงินและการประกัน อาทิ บริการที่สนับสนุนพฤติกรรมการออม การลงทุน และการประกันสุขภาพ 3) กลุ่มที่อยู่อาศัยและการออกแบบตามหลัก universal design อาทิ สินค้า/บริการที่เกี่ยวกับการซ่อมแซมบ้าน 4) กลุ่มเทคโนโลยีที่ครอบคลุมสินค้าและบริการที่ใช้ Internet of Everything กลุ่มการท่องเที่ยว ที่โครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมต้องไร้รอยต่อ โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว ห้องน้ำ ที่ต้องมีราวจับ ทางลาด และเตียงพับสำหรับผู้สูงอายุ และ 5) โอกาสในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในลักษณะชุมชนผู้สูงอายุที่มีการบริการการดูแลโดยทีมพยาบาลวิชาชีพและผู้ดูแลเบื้องต้น และการพัฒนา retirement community สำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการความสงบ คุณภาพและความปลอดภัยในการใช้ชีวิต และค่าครองชีพที่เหมาะสมด้วย
นายพันปรีชา ภู่ทอง และนายธนรัต โชติกเสถียร ได้นำเสนอผลการศึกษาเกี่ยวกับสินค้ากลุ่มอาหาร ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าและบริการที่ผู้สูงอายุทุกกลุ่มต้องการ อาทิ อาหารพร้อมทาน (ready to eat meal) ที่ตอบโจทย์ทั้งกลุ่ม pre aging และกลุ่ม active aging ซึ่งต้องได้รับการพัฒนาทางด้านมาตรฐานเฉพาะเพื่อให้เหมาะสมกับสุขภาพของผู้สูงอายุ อาหารฟังก์ชั่น (functional good) ซึ่งตอบโจทย์กลุ่ม pre aging และผู้สูงอายุทุกกลุ่ม จากการให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคและการบริโภคที่มีสรรพคุณทางยา ซึ่งภาครัฐอาจส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้เกิดการใช้วัตถุดิบและการใช้สมุนไพรในประเทศมากขึ้น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (dietary Supplements) ที่ตอบโจทย์กลุ่ม Gen X ที่เน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน โดยรัฐอาจเข้ามากำกับดูแลการโฆษณาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการบริโภคมากขึ้น อาหารทางการแพทย์ (medical food) โดยรัฐอาจพัฒนามาตรการจูงใจให้มีผู้ผลิตอาหารทางการแพทย์ที่เป็นคนไทยเพิ่มมากขึ้น และโอกาสของไทยในการพัฒนาธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ในรูปแบบสถานดูแลผู้สูงอายุเฉพาะกลางวัน สถานบริการ ดูแลระยะยาว และธุรกิจบริการส่งผู้ดูแลไปดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน อีกด้วย
นอกจากนี้ ที่ปรึกษายังชี้ให้เห็นว่าหากจะลดปัญหาค่าใช้จ่ายที่ไม่เพียงพอในวัยหลังเกษียณ และสร้างความมั่นคงทางรายได้ ทางออกหนึ่งคือการเคลื่อนย้ายแรงงานสูงอายุในระบบมาสู่การทำงานในภาคการเกษตร โดยใช้ประโยชน์จากที่ดินและองค์ความรู้ในการทำการเกษตรในครอบครัว และปรับเปลี่ยนจากเกษตรดั้งเดิมเป็นเกษตรอัจฉริยะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และต้องทำให้ผู้สูงอายุที่เป็นแรงงานในระบบที่ยังเป็น active elderly ทำงานได้นานยิ่งขึ้น โดยต้องเพิ่มทักษะตั้งแต่ในวัย pre aging เพื่อให้มีงานที่สองของชีวิตได้ (second job) และต้องปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการจ้างงานใหม่ในกลุ่มผู้สูงอายุ (re - employment) ขณะที่ผู้สูงอายุที่เป็นแรงงานนอกระบบ ต้องสร้างโอกาสในการเข้าถึงการพัฒนาทักษะ และแหล่งเงินทุนเพื่อการประกอบอาชีพ
ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้เสนอความคิดเห็นที่น่าสนใจ ได้แก่ ด้านการตอบสนองความต้องการสินค้าและบริการ ควรให้ความสำคัญกับบริการด้านสุขภาพ อาทิ การบริการรับ - ส่งไปโรงพยาบาลในราคาที่เข้าถึงได้ การพัฒนาอาชีพผู้ดูแลผู้สูงอายุ (caregiver) และผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเพื่อนผู้สูงอายุในการทำกิจกรรมต่าง ๆ (elderly companion) การดูแลและพัฒนาผู้หญิงที่ทำหน้าที่ดูแลสมาชิกในครัวเรือน การให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้สมุนไพร อาหารเสริม ตลอดจนการเตรียมพร้อมด้านสุขภาพและด้านการเงินตั้งแต่วัย pre-aging ด้านผู้สูงอายุในฐานะผู้ผลิต ควรมีมาตรการจูงใจภาคเอกชนในการจ้างงานผู้สูงอายุ การพัฒนาอาชีพอย่างครบวงจร การเพิ่มทักษะดิจิทัลเพื่อหารายได้ สุดท้ายนี้ ที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการผลักดันผลการศึกษาสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจสูงวัยให้กับคนในสังคม เพื่อให้การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจสูงวัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ภาพ/ข่าว: กองยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคม |