เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพร้อมด้วยนายสุรรัฐ เนียมกลาง ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน นายอธิพงศ์ หิรัญเรืองโชค ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และประสานการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนเจ้าหน้าที่กองยุทธศาสตร์และประสานการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และกองยุทธศาสตร์และการวางแผนเศรษฐกิจมหภาคได้เดินทางไปเยี่ยมชมและศึกษาดูงาน ณ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี และบริษัท อนาล็อก ดีไวเซส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งได้รับการต้อนรับจากนายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ ยู จำกัด นายวิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคนิควิศวกรรมและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และนายวิรัตน์ ศรีอมรกิจกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท อนาล็อก ดีไวเซส (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมนำคณะศึกษาดูงานพื้นที่และบรรยายสรุปสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องสรุปได้ ดังนี้
1. นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรีนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้มีพื้นที่กว่า 1,326,600 เฮกเตอร์ มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นมูลค่ากว่า 573,066 ล้านบาท ในปี 2567 ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ดิจิทัล และยานยนต์แห่งอนาคต โดยมีบริษัท อมตะ ยู จำกัด เป็นผู้บริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรม ทั้งการบริหารจัดการน้ำ พลังงาน เทคโนโลยี และของเสีย ทั้งนี้ด้านพลังงาน พบว่า ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้มีความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงปี 2569 – 2571 ประมาณ 1,200 เมกะวัตต์ และหากมีการจำหน่ายพื้นที่ครบถ้วน จะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงถึง 2,000 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะสามารถจำหน่ายพื้นที่ได้ทั้งหมดภายในปี 2575 สำหรับประเด็นผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา พบว่า อุตสาหกรรมภายในนิคมได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย เนื่องจากกว่าร้อยละ 70 ของอุตสาหกรรมในพื้นที่เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ Data Center อิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมยา
2. บริษัท อนาล็อก ดีไวเซส (ประเทศไทย) จำกัดบริษัทฯ ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงและเซมิคอนดักเตอร์ในห่วงโซ่การผลิตระดับต้นน้ำ ตั้งแต่การออกแบบวงจรรวม (IC Design) จนถึงการผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB Fabrication) สำหรับอุตสาหกรรมการบิน พลังงาน เครื่องมือแพทย์ และการสื่อสาร โดยผลิตชิ้นส่วนมากกว่า 75,000 รายการมีมูลค่าการส่งออกกว่า 8.46 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ ปี 2567) โดยบริษัทฯ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมีการจ้างงานวิศวกรและบุคลากรมากกว่า 1,100 คน ซึ่งกว่าร้อยละ 90 เป็นคนไทยทั้งในระดับปฏิบัติการและระดับบริหาร อีกทั้งยังมีมาตรการเชิงรุกในการพัฒนาบุคลากรร่วมกับมหาวิทยาลัย โดยจัดทำโครงการฝึกอบรม การวิจัยร่วมกับคณาจารย์ รวมถึงการส่งเสริมการศึกษาด้านอิเล็กทรอนิกส์แก่นักเรียนระดับมัธยมศึกษา ตลอดจน นโยบายบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ใช้พลังงานหมุนเวียน นำน้ำกลับมาใช้ซ้ำ และนำของเสียไปใช้ประโยชน์แทนการฝังกลบ สำหรับประเด็นผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา บริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากมีสำนักงานใหญ่และโรงงานอยู่ที่สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ เผชิญกับความท้าทายจากความต้องการสินค้าในตลาดโลกที่ลดลงโดยเฉพาะตลาดจีนอันเป็นผลจากความไม่แน่นอนทางการค้าโลก
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้นำเสนอแนวโน้มอุตสาหกรรมในปี 2573 (ค.ศ. 2030) ซึ่งประกอบด้วย (1) Artificial Intelligence (2) Internet of Things (3) Productive Industries (4) Automotive (5) Health Care และ (6) Renewable Energy โดยเห็นว่าอุตสาหกรรมดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในด้านโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค การพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพ และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน พร้อมทั้งเสนอให้รัฐบาลพิจารณาจัดทำมาตรการจูงใจเชิงเป้าหมายเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ข่าว : กองยุทธศาสตร์และประสานการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน
ภาพ : เมฐติญา วงษ์ภักดี