เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดประชุมหารือเชิงนโยบาย (Policy Dialogue) “แนวทางส่งเสริมภาคประชาสังคมมาหนุนเสริมการจัดบริการของรัฐเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบาง” ณ ห้องเมฆา บอลรูม โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์พอยต์ สุรวงศ์ กรุงเทพมหานคร จากการร่วมกับสถาบันส่งเสริมภาคประชาสังคม (สสป.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส. สำนัก 9) ดำเนินงานส่งเสริมองค์กรภาคประชาสังคมระดับจังหวัดเป็นหุ้นส่วนจัดบริการสาธารณะแก่กลุ่มเปราะบาง นำร่อง 10 จังหวัด ใน 3 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุยากจน กลุ่มชาติพันธุ์/ผู้มีปัญหาสถานะทางทะเบียน และกลุ่มสตรีมุสลิมที่ได้รับความรุนแรงในครอบครัว โดยขับเคลื่อนการค้นหาและจัดทำฐานข้อมูลกลุ่มเปราะบางที่ตกหล่น/เข้าไม่ถึงบริการของรัฐ การจัดระบบในชุมชนเพื่อดูแลสุขภาพผู้เปราะบางทั้งด้านกายและจิตใจ และการเชื่อมประสานระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อระดมทรัพยากรในการช่วยเหลือหรือส่งต่อ ผู้เข้าร่วมหารือประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ ศาสตราจารย์กิตติคุณ สุริชัย หวันแก้ว ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. จิตติ มงคลชัยอรัญญา และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา ผู้แทนเครือข่ายภาคประชาสังคมที่นำร่องจัดบริการร่วมกับภาครัฐ ได้แก่ พะเยา ลำพูน สุรินทร์ ร้อยเอ็ด สุพรรณบุรี จันทบุรี ชุมพร สตูล ปัตตานี อุบลราชธานี และยะลา รวมผู้เข้าร่วมหารือทั้งสิ้น 150 คน
นางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุม และนำเสนอศักยภาพของภาคประชาสังคมในการเป็นผู้เชื่อมโยงในระบบนิเวศเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ(Ecosystemizer) ตั้งแต่ระดับตำบลที่เป็นหน่วยเล็กที่สุด โดยภาคประชาสังคมหรือ “ท้องทุ่ง” ซึ่งครอบคลุมองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) องค์กรชุมชนและอาสาสมัครในพื้นที่ รวมทั้งกลุ่มพลังพลเมือง (Active Citizens) มีกระบวนทัศน์การทำงานที่มุ่งเน้นการเชื่อมประสานการทำงานระหว่างท้องที่ (หน่วยงานรัฐในพื้นที่) ท้องถิ่น (อปท.) เพื่อจัดบริการทางสังคมให้เข้าถึงกลุ่มเปราะบางที่มีความต้องการเฉพาะ ซึ่งภาครัฐไม่สามารถให้บริการได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งยังทำหน้าที่เชื่อมโยงการขับเคลื่อนนวัตกรรมหรือข้อเสนอเชิงนโยบายตั้งแต่ระดับตำบลไปสู่ระดับจังหวัดและต่อเนื่องถึงระดับประเทศ โดยเป็นการขับเคลื่อนตามแนวทางหมุดหมายที่ 13 ไทยมีภาครัฐที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ประชาชน ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ทั้งนี้ รองเลขาธิการฯ ยังชี้ให้เห็นถึงโอกาสทางนโยบายที่เอื้อให้ภาคประชาสังคมมาหนุนเสริมภาครัฐ ได้แก่ (1) ร่าง พ.ร.บ. ยกระดับการบริหารราชการให้ทันสมัย พ.ศ. …. เปิดโอกาสให้หน่วยงานรัฐบริหารงานแบบเครือข่ายกับภาคประชาสังคมในการให้บริการสาธารณะในรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่การทำงานร่วมกันโดยมีบันทึกความร่วมมือที่ชัดเจน การอุดหนุนงบประมาณหรือทรัพยากร ครุภัณฑ์ หรือให้ใช้สถานที่ หรือระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับภาคประชาสังคมจัดบริการสาธารณะ การโอนภารกิจให้ประชาสังคมทำแทน จนถึงการเปิดโอกาสให้ประชาสังคมแข่งขันกับรัฐในการจัดบริการสาธารณะ (2) การปรับปรุงกฎหมายสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพของภาคประชาสังคม ได้แก่ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. 2558 (3) การดำเนินการร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อบรรลุตัวชี้วัดประเมินประสิทธิภาพของ อปท. (Local Performance Assessment : LPA) โดยเฉพาะตัวชี้วัดด้านที่ 4 ด้านบริการสาธารณะเพื่อเข้าถึงบริการทางสุขภาพของผู้สูงอายุ และการประเมิน อปท.ศักยภาพสูง (HPA) ซึ่งมีตัวชี้วัดด้านการจัดทำนวัตกรรมในการปรับปรุงและออกแบบการให้บริการให้สามารถตอบสนองปัญหาและความต้องการของผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และ (4) พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2565 ที่กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) โดยมีสัดส่วนผู้แทนจากภาคประชาสังคมจังหวัดละ 4-12 คน เข้าร่วมเป็นกรรมการเพื่อสะท้อนปัญหาและเชื่อมโยงแผนพัฒนาท้องถิ่นกับแผนพัฒนาจังหวัดเข้ากับความต้องการในพื้นที่อย่างแท้จริง
ช่วงต่อมา เป็นการนำเสนอผลการศึกษา แนวทางส่งเสริมให้ภาคประชาสังคมหนุนเสริมการจัดบริการของภาครัฐ โดยอาจารย์อรรคณัฐ วันทนะสมบัติ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จำแนกบทบาทภาคประชาสังคมที่ขับเคลื่อนระบบนิเวศในการลดความเหลื่อมล้ำได้ 3 ระดับ คือ ระดับปฏิบัติการ ระดับเชื่อมประสาน และระดับขับเคลื่อนนโยบาย ทั้ง 3 ระดับจะทำงานสอดประสานไปกับหน่วยงานระดับท้องถิ่น หน่วยงานระดับจังหวัด หน่วยงานส่วนกลาง เพื่อจัดบริการสาธารณะให้เข้าถึงกลุ่มเปราะบาง และเชื่อมโยงไปสู่การผลักดันข้อเสนอทางนโยบาย โดยมีผู้สนับสนุนทรัพยากรและเชื่อมโยงเครือข่ายในระบบนิเวศฯ ที่สำคัญ อาทิ สสส. พอช. สช. ศอบต. ข้อท้าทายของภาคประชาสังคมในการหนุนเสริมภาครัฐในการจัดบริการสาธารณะ ได้แก่ กฎระเบียบราชการที่ยังเป็นอุปสรรค สัดส่วนงบประมาณจังหวัดด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตไม่เพียงพอ การขาดกลไก/พื้นที่สำหรับประสานงานระหว่างภาครัฐกับภาคประชาสังคม อีกทั้งการทำงานไม่ต่อเนื่องจากที่ต้องเผชิญการโยกย้ายประจำปีของเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมมักจำกัดเพียงการรับฟังความคิดเห็น ไม่ได้มีผลต่อการร่วมตัดสินใจหรือการเป็นหุ้นส่วนการพัฒนา และมีตัวแทนของภาคประชาสังคมในกลไกต่าง ๆ ไม่ครอบคลุมทุกกลุ่ม ในการนี้ มีข้อเสนอแนะต่อแนวทางส่งเสริมให้ภาคประชาสังคมหนุนเสริมการจัดบริการของภาครัฐ ประกอบด้วย (1) ด้านกฎหมาย/ ยุทธศาสตร์/นโยบาย ผลักดันร่าง พ.ร.บ. ยกระดับการบริหารราชการให้ทันสมัยภายใต้แนวทางความร่วมมือ Public–Civic–Private Partnership (PCPP) ในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน อีกทั้ง ควรกำหนดนิยามและบทบาทของภาคประชาสังคมในกฎหมายหรือแผนพัฒนา เพื่อให้มีสิทธิและสถานะชัดเจนในการร่วมจัดบริการสาธารณะ พร้อมทั้งปรับปรุงตัวชี้วัดและเกณฑ์การประเมินผลของ อปท. ให้ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น (2) ด้านการจัดสรรทรัพยากรสู่ อปท. และภาคประชาสังคม จัดตั้งกองทุนสนับสนุนภาคประชาสังคมในท้องถิ่นผ่านงบของ อปท. หรือกองทุนที่ภาคเอกชนร่วมสมทบ เพื่อให้ท้องถิ่นมีงบประมาณโดยตรงสำหรับทำงานร่วมกับภาคประชาสังคม และมีประชาชนร่วมตัดสินใจใช้งบประมาณ (Participatory Budgeting) ตลอดจนส่งเสริมหน่วยงาน อาทิ สสส. พอช. ให้เป็น Hub กระจายทุนและอำนวยความสะดวกให้ภาคประชาสังคมหนุนเสริมการดำเนินงานของท้องถิ่น (3) ด้านการเสริมสร้างศักยภาพและองค์ความรู้ พัฒนาศักยภาพทางวิชาการของผู้แทนภาคประชาสังคมในกลไกต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ผ่านการวิจัย การจัดเก็บข้อมูล และการจัดทำสถิติ รวมทั้งส่งเสริมบทบาทของสถาบันการศึกษาในพื้นที่เพื่อบ่มเพาะนักวิจัยชุมชน สนับสนุนการพัฒนาท้องถิ่น และเสริมสร้างทักษะในการผลิตและใช้ข้อมูลในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ
จากนั้นเป็นช่วงการอภิปราย/แลกเปลี่ยนความเห็น โดยมี นายวันชัย บุญประชา นายกสมาคมส่งเสริมภาคประชาสังคม เป็นผู้ดำเนินการระดมความเห็น ผู้ร่วมประชุมได้มีประเด็นข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่สำคัญต่อการส่งเสริมให้ภาคประชาสังคมมาหนุนเสริมภาครัฐ แบ่งออกเป็น ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ควรมีกลไกคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐกับภาคประชาสังคมสำหรับนำเสนอแผนงาน/โครงการที่จัดทำขึ้นโดยชุมชน/ประชาสังคม และเพิ่มสัดส่วนโครงการด้านพัฒนาคุณภาพชีวิตในแผนพัฒนาจังหวัด รวมทั้งปรับปรุงกระบวนการคัดสรรผู้แทนภาคประชาสังคมในคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) และคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ (ก.น.บ.) ให้มาจากการคัดเลือกของภาคประชาสังคมในแต่ละจังหวัด และเปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคมได้มีส่วนร่วมประเมินประสิทธิภาพการจัดบริการของ อปท. ตามตัวชี้วัดใน LPA นอกจากนี้ ควรกำหนดให้พื้นที่ชายแดนเป็นพื้นที่ยกระดับร่วมมือกับภาคประชาสังคม เพื่อจัดตั้งระบบช่วยเหลือฉุกเฉินสำหรับกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ ทั้งในกลุ่มผู้สูงอายุ เด็กและเยาวชน และกลุ่มผู้มีปัญหาสถานะทางทะเบียน ข้อเสนอแนะต่อภาคประชาสังคม ควรพัฒนากลไกการติดตามและประเมินผลลัพธ์การดำเนินงานอย่างเป็นระบบ โดยให้ความสำคัญทั้งในมิติเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ อาทิ การเปรียบเทียบต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) ระหว่างการดำเนินงานของภาครัฐและภาคประชาสังคม หรือการประเมินผล SROI เพื่อสะท้อนให้เห็นประสิทธิผลด้านการใช้งบประมาณน้อยกว่าแต่ให้ผลสัมฤทธิ์ที่ลึกซึ้งกว่า และสร้างความเชื่อมั่นต่อภาครัฐในการร่วมมือหรือมอบหมายบทบาทเพิ่มขึ้นในอนาคต อีกทั้ง ภาคประชาสังคมควรสร้างคนรุ่นใหม่ในพื้นที่เพื่อสืบทอดแนวคิดและการทำงานด้านสังคมต่อไป
ในช่วงท้าย รองเลขาธิการฯ สรุปประเด็นสำคัญของการส่งเสริมให้ภาคประชาสังคมร่วมหนุนเสริมภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีโครงสร้างและทรัพยากรที่เหมาะสมเพื่อหนุนเสริมให้ภาคประชาสังคมเข้มแข็งและร่วมเป็นหุ้นส่วนพัฒนากับภาครัฐได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งต้องหารูปแบบความร่วมมือที่เหมาะสมระหว่างภาคประชาสังคมกับกลไกต่าง ๆ ในพื้นที่ รวมทั้งเชื่อมโยงกับภาคเอกชน เพื่อให้เกิดพลังร่วม (Synergy) ขับเคลื่อนการพัฒนาให้สอดคล้องกับบริบทแต่ละแห่งต่อไป
ข่าว : กองยุทธศาสตร์การพัฒนาความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางสังคม
ภาพ : จักรพงศ์ สวภาพมงคล