Accessibility

Accessibility Options

ปลดล็อกอนาคต! สศช. ชี้ทางออกประเทศไทยต้อง “กล้า” ยกเครื่องโครงสร้างครั้งใหญ่ สร้างความหวังคนทั้งชาติ

          วันนี้ (26 กันยายน 2568) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดประชุมประจำปี 2568 ในหัวข้อ “ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย Thailand’s Institutional Reform” ณ ห้องเวิลด์ บอลรูม ชั้น 23 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอก คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร โดยสาระสำคัญของการประชุมปีของ สศช. ในปีนี้ มุ่งสะท้อนข้อจำกัดเชิงโครงสร้างและปัจจัยเชิงสถาบันที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ แม้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566–2570) ได้ขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรจำนวนมาก แต่ผลลัพธ์เชิงประจักษ์ยังไม่ก้าวหน้ามากพอ ปัญหาสำคัญด้านความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาคน การจัดการสิ่งแวดล้อม และระบบราชการที่ซ้ำซ้อนและขาดประสิทธิภาพ ยังส่งผลให้ความเชื่อมั่น (Trust) และความคาดหวัง (Hope) ของประชาชนที่มีต่อการพัฒนาประเทศลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

          ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เป็นประธานการประชุมและกล่าวเปิดการประชุม โดยชี้ว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาค แต่ที่ผ่านมาการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่า 5% ต่อเนื่องตั้งแต่แผนฯ ฉบับที่ 10 และความสามารถในการแข่งขันถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศ พร้อมเน้นว่า “ประเทศไทยไม่อาจพัฒนาไปได้ไกล หากยังคงมีโครงสร้างที่บิดเบี้ยวและกลไกเชิงสถาบันที่อ่อนแอ ถึงเวลาแล้วที่เราต้อง ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย เพื่อฟื้นความเชื่อมั่น สร้างความหวัง และปลดล็อกศักยภาพการแข่งขันของประเทศ”

          ต่อจากนั้น นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้นำเสนอในหัวข้อ “ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย Thailand’s Institutional Reform” โดยชี้ให้เห็นถึงผลการขับเคลื่อน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 แม้จะมีความพยายามในการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นยังไม่ก้าวหน้ามากพอ หลายด้านยังไม่ตอบโจทย์การพัฒนาอย่างแท้จริง พร้อมย้ำว่า 5 ปัญหาเชิงโครงสร้างและปัจจัยเชิงสถาบันสำคัญที่ยังเป็นข้อจำกัดของประเทศ ได้แก่
                  • กฎหมายและระเบียบ ที่มีจำนวนมาก ล้าสมัย และเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน
                  • การทุจริตคอร์รัปชัน ที่บิดเบือนโครงสร้างแรงจูงใจและบั่นทอนความเชื่อมั่น
                  • หลักนิติธรรม ที่ยังอ่อนแอ ล่าช้า และลดทอนความน่าเชื่อถือ
                  • ประชาธิปไตย ที่ยังไม่มั่นคง ส่งผลให้กติกาไม่เปิดกว้างและไม่เป็นธรรม
                  • การบริหารจัดการภาครัฐ ที่มีขนาดใหญ่แต่ไร้ประสิทธิภาพ ขาดการบูรณาการ และเผชิญข้อจำกัดด้านการคลัง

          ข้อจำกัดเหล่านี้ไม่เพียงฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขัน แต่ยังบั่นทอนศักยภาพของประเทศในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างระดับโลก ทั้งในด้านภูมิรัฐศาสตร์และระเบียบโลกใหม่ การเข้าสู่สังคมสูงวัย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

          นายดนุชากล่าวย้ำว่า ปัญหาเชิงโครงสร้างและกลไกเชิงสถาบันเป็นโจทย์ที่ไม่อาจเพิกเฉยได้อีกต่อไป ประเทศไทยต้อง “กล้า” ที่จะเปลี่ยนแปลง เพื่อผลักดันการพัฒนาให้เดินหน้า ภายใต้กรอบ D-A-R-E to Reform ได้แก่
                  • D – Determination : ความมุ่งมั่นตั้งใจ
                  • A – Action Together : การลงมือร่วมกันจากทุกภาคส่วน
                  • R – Redesign Innovation : การออกแบบกติกาและนวัตกรรมเชิงสถาบันใหม่ เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
                  • E – Emergency Mindset : การตระหนักถึงความเร่งด่วน ต้องดำเนินการทันที ไม่ผัดผ่อน

          หลังจากนั้น เป็นการเสวนาในหัวข้อ “ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย ทำอย่างไรให้เป็นจริง” โดยผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขา มาร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและแนวทางเชิงรูปธรรม เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมสำหรับประเทศ ประกอบด้วย ศ.(พิเศษ) ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ดร.ปิติ ตัณฑเกษม กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ดร.วิรไท สันติประภพ ประธานกรรมการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

          สำหรับข้อมูลและข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการประชุมครั้งนี้จะนำไปใช้ปรับปรุงการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ในช่วงเวลาที่เหลือ และเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการจัดทำ แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2571–2575) ให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง

          สศช. คาดหวังว่าการประชุมประจำปี 2568 จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการ “ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย” เพื่อคืนความเชื่อมั่นและความหวังแก่ประชาชน พร้อมสร้างศักยภาพการแข่งขันที่ยั่งยืนในอนาคต