Accessibility

Accessibility Options

การสัมมนาทางวิชาการสายงานเศรษฐกิจมหภาค บัญชีประชาชาติ การประเมินผล และการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประจำปี 2568 เรื่อง “เจาะลึกภาวะหนี้สินภาคธุรกิจไทย”

การสัมมนาทางวิชาการสายงานเศรษฐกิจมหภาค บัญชีประชาชาติ การประเมินผล
และการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ประจำปี 2568 เรื่อง “เจาะลึกภาวะหนี้สินภาคธุรกิจไทย”

          เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) โดยสายงานเศรษฐกิจมหภาค บัญชีประชาชาติ การประเมินผล และการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2568 ในหัวข้อ “เจาะลึกภาวะหนี้สินภาคธุรกิจไทย” ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท โดยมีนายวิชญายุทธ บุญชิต รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดการสัมมนา

          ช่วงแรกของการสัมมนาได้รับเกียรติจาก นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “บทบาทของข้อมูลเครดิตในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” โดยได้กล่าวถึงประโยชน์ของระบบข้อมูลเครดิตที่ดี รวมถึงแนวทางในการพัฒนาฐานข้อมูลเครดิตและการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลของประเทศในภาพรวม อันจะสามารถช่วยยกระดับการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงิน และช่วยให้ประชาชนและภาคธุรกิจเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น ขณะเดียวกันยังได้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาแนวทางการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงิน รวมถึงการเชื่อมโยงฐานข้อมูลต่าง ๆ ที่สำคัญซึ่งสามารถนำไปสู่การศึกษาวิจัยที่สามารถต่อยอดไปสู่แนวทางการดำเนินนโยบายที่เหมาะสมกับประเทศต่อไป

          สำหรับในช่วงที่สองเป็นการนำเสนอผลการศึกษาเรื่อง “เจาะลึกภาวะหนี้สินภาคธุรกิจไทย” โดยนางสาวสาลินี บุญตน และนางสาวพรทิพา แซ่เอี้ยว จากกองยุทธศาสตร์และการวางแผนเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งงานศึกษาดังกล่าวได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์และคุณภาพของสินเชื่อภาคธุรกิจทั้งในภาพรวมและรายสาขาการผลิต พร้อมทั้งศึกษาถึงปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพของสินเชื่อภาคธุรกิจ ทั้งปัจจัยระดับมหภาค ปัจจัยภาคธนาคาร และปัจจัยเฉพาะของธุรกิจ เพื่อทำความเข้าใจพลวัตการเปลี่ยนแปลงสถานะของสินเชื่อภาคธุรกิจ โดยสามารสรุปผลการศึกษาที่สำคัญ ดังนี้ (1) ปัจจัยด้านเศรษฐกิจมหภาคและปัจจัยของภาคธนาคารมีความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญต่อคุณภาพสินเชื่อภาคธุรกิจไทย โดยคุณภาพสินเชื่อเป็นปัจจัยหลักในการเกิดผลกระทบย้อนกลับ (feedback loop) ระหว่างภาคการเงินและภาคเศรษฐกิจจริง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจและการดำเนินงานของสถาบันการเงินมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งในช่วงปกติและช่วงวิกฤติ (2) การกระจุกตัวของสินเชื่อภาคธุรกิจขนาดใหญ่มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยพบว่าสัดส่วนของนิติบุคคลที่มีมูลค่าสินเชื่อสูงสุดร้อยละ 10 (Top 10%) มีสัดส่วนมูลค่าสูงถึงประมาณร้อยละ 90 ของมูลค่าสินเชื่อทั้งหมด ขณะที่สินเชื่อที่ผิดนัดชำระหนี้ส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อวงเงินขนาดเล็กไม่เกิน 20 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่ช่องว่างนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (3) ปัจจัยส่งผลต่อการเปลี่ยนสถานะของสินเชื่อจากสถานะปกติเป็นสินเชื่อผิดนัดชำระ พบว่าอายุกิจการ ระยะเวลาใช้คืน และมูลค่าสินเชื่อคงเหลือมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสถานะสินเชื่อ แต่จะแตกต่างกันไปในสินเชื่อแต่ละขนาด ดังนั้น มาตรการแก้ปัญหาจึงควรออกแบบให้เหมาะกับพฤติกรรมและปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจแต่ละขนาด และ (4) ความสัมพันธ์ของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงของการฟื้นตัวหลังโควิด-19 กับคุณภาพสินเชื่อ ในแต่ละสาขาการผลิตแตกต่างกันออกไป โดยสาขาก่อสร้างมีคุณภาพสินเชื่อปรับด้อยลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงหลังโควิด-19 ขณะที่สาขาการผลิตสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ สาขาการผลิตอุตสาหกรรม สาขาการขายส่งขายปลีกฯ สาขาที่พักแรมและบริหารด้านอาหาร และสาขากิจกรรมอสังหาริมทรัพย์ พบว่าคุณภาพสินเชื่อปรับตัวด้อยลงในช่วงปี 2566 -2567 อย่างไรก็ตาม สำหรับสินเชื่อวงเงินที่ต่ำกว่า 20 ล้านบาทพบว่ามีสัดส่วนของสินเชื่อผิดนัดชำระเพิ่มสูงขึ้นในทุกสาขาการผลิตต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงของการแพร่ระบาด

          จากผลการศึกษาดังกล่าวได้นำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาและสนับสนุนให้ภาคการเงินเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไป ประกอบด้วย (1) การส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางข้อมูลในภาคการเงิน เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงสินเชื่อของภาคธุรกิจภายใต้การกำหนดต้นทุนที่เหมาะสมและสมดุลกับความเสี่ยงของผู้กู้ยืม โดยควรมีการดำเนินการที่สำคัญ อาทิ การสร้างและเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง การปรับปรุงพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545 เพื่อให้เหมาะสมกับโครงสร้างเศรษฐกิจและสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการเร่งดำเนินการจัดตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (National Credit Guarantee Agency: NaCGA) (2) การดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาคุณภาพสินเชื่อธุรกิจ ควรพิจารณาให้แตกต่างกันและเหมาะสมกับพฤติกรรมในแต่ละขนาดธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางในการแก้ปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อและคุณภาพสินเชื่อของผู้ประกอบการรายย่อย และ (3) การยกระดับและพัฒนาศักยภาพธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) ให้มีความสามารถในการสร้างรายได้ เพื่อเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสนับสนุนทางการเงินเพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) ที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องให้สามารถปรับตัวได้ ควบคู่ไปกับการพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะการบริหารจัดการ และการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการบริหารจัดการธุรกิจ การส่งเสริมการร่วมลงทุน (Joint Venture) และการสร้างเครือข่ายธุรกิจกับบริษัทขนาดใหญ่ เพื่อให้มีการพัฒนาธุรกิจร่วมกันและสนับสนุนการเข้าถึงตลาดต่างประเทศ อีกทั้งการส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดใหญ่มีบทบาทในการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจขนาดเล็กในสาขาธุรกิจเดียวกัน เพื่อยกระดับขีดความสามารถของธุรกิจขนาดเล็กของไทยให้ดีขึ้น

          จากนั้นเป็นการเสวนาวิชาการ เรื่อง “หนี้ภาคธุรกิจไทย: น่ากังวลแค่ไหน” ซึ่งได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมเสวนา ได้แก่ นางสาวเมธินี เหมริด ผู้อำนวยการฝ่ายตรวจสอบแบบจำลองและวิเคราะห์ความเสี่ยงสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย นายนริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่มบริหารจัดการข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล ธนาคารทหารไทยธนชาติ จำกัด มหาชน นายวุฒิชัย เหลืองอมรเลิศ กรรมการรองเลขาธิการหอการค้าไทย และรองประธานคณะกรรมการ SMEs หอการค้าไทย และนางสาวสาลินี บุญตน จากกองยุทธศาสตร์และการวางแผนเศรษฐกิจมหภาค สศช. โดยมีนายพีรพัฒน์ ตัณฑวณิช จากกองยุทธศาสตร์และการวางแผนเศรษฐกิจมหภาค สศช. เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยวงเสวนาได้มีการแลกเปลี่ยนมุมมองที่หลากหลาย ทั้งสาเหตุและปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพสินเชื่อภาคธุรกิจของไทย ข้อจำกัดของการเข้าถึงสินเชื่อของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงแนวนโยบายในการแก้ปัญหาสินเชื่อภาคธุรกิจในระยะต่อไป

ข่าว : กองยุทธศาสตร์และการวางแผนเศรษฐกิจมหภาค สศช.
ภาพ : จักรพงศ์ สวภาพมงคล