Accessibility

Accessibility Options

สภาพัฒน์ มูลนิธิพัฒนาไท และมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ร่วมขับเคลื่อนพื้นที่ปฏิบัติการที่ยั่งยืน (SDG Lab) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเวทีวิชาการเพื่อการบูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาช้างป่าภาคตะวันออก ครั้งที่ 2

เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกับมูลนิธิพัฒนาไท (มพท.) และมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “เวทีวิชาการเพื่อการบูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาช้างป่าภาคตะวันออก ครั้งที่ 2” ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างภาคีเครือข่ายในพื้นที่และส่วนกลางในการหาแนวทางปิดช่องว่างการดำเนินการแก้ไขปัญหาช้างป่าที่ผ่านมา โดยให้ความสำคัญกับเรื่องการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน SDG LAB ภาคตะวันออก โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.ดวงพร ภู่ผะกา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ เป็นผู้กล่าวรายงานการประชุม และสำนักงานฯ ได้รับเกียรติจาก นายชลธี ยังตรง ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวเปิดการประชุม ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมจากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ประมาณ 80 คน ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐจากส่วนกลางและระดับพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาช้างป่าภาคตะวันออก ผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการด้านช้างป่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น วุฒิอาสาธนาคารสมอง และภาคีเครือข่ายการพัฒนา

นางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เป็นประธานการประชุมเปิดข้อหารือเชิงนโยบาย โดยกล่าวถึงบทบาทของ สศช. ที่เข้ามาหนุนเสริมการแก้ไขปัญหาช้างป่าภาคตะวันออกผ่านการดำเนินโครงการพื้นที่ปฏิบัติการที่ยั่งยืน (SDG LAB) พื้นที่ภาคตะวันออก ที่กำหนดให้เรื่อง การจัดการช้างป่าภาคตะวันออก เป็นประเด็นเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข การประชุมในครั้งนี้เป็นเวทีปรึกษาหารือต่อเนื่องจากเวทีประชุมที่ สศช. ได้จัดไป 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2567 และวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความเห็นในเรื่องสถานการณ์การจัดการปัญหา และแนวทางการแก้ไขปัญหาช้างป่า โดย สศช. ได้ประมวลและวิเคราะห์นโยบาย/มาตรการ/แผนงาน และผลการดำเนินงานที่ผ่านมา พบว่า การจัดการปัญหาช้างป่าภาคตะวันออกยังมีช่องว่างและข้อจำกัดที่สำคัญ อาทิ มาตรการป้องกันปัญหาช้างป่าจากภาครัฐไม่ตอบโจทย์การป้องกันปัญหาในพื้นที่ การศึกษาวิจัยและจัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับช้างป่าไม่เพียงพอและไม่เป็นปัจจุบัน เครื่องมือในการป้องกันและรับมือกับช้างป่ามีจำนวนและคุณภาพไม่เพียงพอ และประชาชนยังขาดความรู้ความเข้าใจในระเบียบ/หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือเยียวยา จึงนำมาสู่ข้อหารือเชิงนโยบายที่ควรดำเนินการเร่งด่วน 3 ประเด็น ประกอบด้วย (1) การจัดทำระบบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับช้างป่า เพื่อประกอบการวางแผนการจัดการช้างป่าอย่างเป็นระบบ (2) ระบบเตือนภัยและช่องทางในการสื่อสารแบบ real time เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการผลักดันช้างป่าที่มีประสิทธิภาพ สามารถผลักดันช้างป่ากลับคืนสู่ป่าได้อย่างปลอดภัยทั้งคนและช้าง และ (3) การช่วยเหลือ/เยียวยาผู้ประสบภัยจากช้างป่า อาทิ การปรับปรุงระเบียบหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากช้างป่า และพัฒนาช่องทางการเข้าถึงในการขอรับความช่วยเหลือเยียวยา โดยที่ประชุมได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความเห็นอย่างกว้างขวาง มีสาระสำคัญ ดังนี้

(1) การจัดทำระบบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับช้างป่า มีชุดข้อมูลสำคัญที่ควรต้องเร่งดำเนินการ ทั้งการจัดทำข้อมูลพื้นฐานให้ครอบคลุมครบทุกพื้นที่ (ภายในและนอกเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์) เช่น ข้อมูลจำนวนประชากรช้างป่า อัตราการเพิ่มขึ้นของช้าง ข้อมูลแนวโน้มการเคลื่อนตัว/เส้นทางการเดินของช้างป่า ข้อมูลพื้นที่ป่าอนุรักษ์ในการรองรับช้างป่า ข้อมูลแหล่งน้ำ/แหล่งอาหาร ข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณรอบนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และข้อมูลจำนวนเจ้าหน้าที่ผลักดันช้าง เป็นต้น และการจัดทำข้อมูลชุดใหม่ที่จะช่วยสนับสนุนในการวางแผนแก้ไขปัญหา ได้แก่ การจัดทำข้อมูลการจัดการช้างป่าระดับตำบล ระดับจังหวัด และระดับนโยบายที่มีการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานกลางกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นระบบฐานข้อมูลกลาง เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาช้างป่า ทั้งนี้ พื้นที่ที่สามารถพัฒนาเป็นพื้นที่ต้นแบบและพื้นที่ทดลองนำร่องในการพัฒนาระบบข้อมูลการจัดการช้างป่าระดับตำบลและระดับจังหวัด ได้แก่ ตำบลพวา อำเภอแก่งหางแมว จังหวัดจันทบุรี และตำบลวังทอง อำเภอวังสมบูรณ์ จังหวัดสระแก้ว (2) ระบบเตือนภัยและช่องทางในการสื่อสารแบบ real time ควรใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีมาพัฒนาระบบแจ้งเตือนให้มีประสิทธิภาพ โดยนำผลการศึกษาจากงานวิจัยมาวิเคราะห์องค์ประกอบ/ปัจจัยที่จะนำไปสู่การเพิ่มจำนวนติดตั้งระบบปลอกคอช้าง GPS – Collar เพื่อติดตามช้างป่า อาทิ เทคโนโลยี/อุปกรณ์ที่ใช้ ความเชี่ยวชาญของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งพัฒนาระบบตรวจจับและแจ้งเตือนภัยช้างป่าโดยระบบเซนเซอร์และกล้องวงจรปิดที่สามารถสนับสนุนการแจ้งเตือนภัยจากช้างป่าให้กับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ได้ (3) การช่วยเหลือ/เยียวยาผู้ประสบภัยจากช้างป่า ควรปรับปรุงระเบียบ/หลักเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชย/เยียวยาความเสียหายให้ครอบคลุมและเหมาะสมกับความเสียหายที่เกิดจากช้างป่า เนื่องจากความเสียหายที่เกิดจากช้างป่ามีลักษณะเฉพาะ แตกต่างจากภัยพิบัติประเภทอื่น โดยจัดทำข้อมูลความเสียหายทั้งพืชผลทางการเกษตร ทรัพย์สินและที่อยู่อาศัยในระดับพื้นที่ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการสะท้อนต้นทุนความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งยกระดับ “หลักเกณฑ์และวิธีการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสัตว์ป่า พ.ศ. 2567” ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้เป็นระเบียบการช่วยเหลือเยียวยาเฉพาะด้าน

ทั้งนี้ ข้อมูลที่นำมาเป็นประเด็นหารือเชิงนโยบายได้มาจากการจัดเวทีถอดบทเรียนการจัดการช้างป่า 8 จังหวัดภาคตะวันออก ในวันที่ 5 กันยายน 2567 จากผู้เข้าร่วมประชุมที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบ ภาคีเครือข่ายและผู้แทนหน่วยงานในพื้นที่ โดยมีการทบทวนบทเรียนรูปแบบความสำเร็จและปัญหา/อุปสรรค พบว่า รูปแบบความสำเร็จ ได้แก่ การจัดทำผังตำบลที่ระบุผลกระทบจากช้างป่า (สระแก้ว) การปรับเปลี่ยนการปลูกพืชที่ช้างไม่ชอบ (ฉะเชิงเทรา) การมีอุปกรณ์/เครื่องมือและเทคโนโลยีที่พร้อมสนับสนุนการผลักดันช้างป่า (ฉะเชิงเทรา/ปราจีนบุรี) และการจัดตั้งกองทุนผ้าป่าเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยฉุกเฉิน (ฉะเชิงเทรา/สระแก้ว) ส่วนปัญหา/อุปสรรค ได้แก่ ขาดการจัดทำข้อมูลประชากร/เส้นทางช้าง สิ่งกีดขวางไม่มีประสิทธิภาพ การไม่มีระบบแจ้งเตือนภัย การผลักดันด้วยความรุนแรง รวมถึงประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ยังขาดความเข้าใจต่อหลักเกณฑ์เยียวยา นอกจากนี้ ภาคีเครือข่ายได้เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาที่สำคัญ อาทิ การ Mapping ข้อมูลพื้นที่เสี่ยง (Red Zone) การสร้างโมเดลแผนการจัดการช้างตั้งแต่ระดับชุมชนถึงระดับจังหวัด การจัด Zoning แยกระหว่างคนกับช้างอย่างชัดเจน รวมถึงการกำหนดหน่วยงานกลางและหน่วยงานช่วยประสานระหว่างรัฐกับประชาชนทั้งกระบวนการการป้องกัน การรับมือเมื่อช้างป่าบุกรุก และการช่วยเหลือเยียวยาภายหลังจากการประชุม ภาคีเครือข่ายการพัฒนาภาคตะวันออกจะร่วมกันพัฒนาและจัดทำระบบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับช้างป่า โดยเชื่อมโยงชุดข้อมูลการจัดการช้างป่าภาคตะวันออกของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียมและภูมิสารสนเทศ ต่อยอดงานศึกษาวิจัยของภาควิชาการเพื่อพัฒนาระบบข้อมูลและระบบเตือนภัยให้มีประสิทธิภาพ สามารถใช้งานได้จริง รวมทั้งปรับปรุงระบบการช่วยเหลือ/เยียวยาผู้ประสบภัยจากช้างป่า โดยยกระดับหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเยียวยาให้เป็นระเบียบข้อบังคับเพื่อให้เกิดการดำเนินการได้ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดจากช้างป่าได้ โดยจะจัดให้มีการหารือรายประเด็นเพื่อนำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เป็นรูปธรรมต่อไป ทั้งนี้ สศช. จะทำหน้าที่หนุนเสริมการขับเคลื่อนโดยการสร้างความร่วมมือและพื้นที่นำร่อง (Sandbox) ในการใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ แก้ไขปัญหาช้างป่าภาคตะวันออก เปิดพื้นที่กลางแลกเปลี่ยนพูดคุยและหารือเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนงาน รวมทั้งเชื่อมประสานหน่วยงานภาคีภายนอกเพื่อให้การขับเคลื่อนเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

ข่าว : กองยุทธศาสตร์การพัฒนาความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางสังคม
ภาพ : มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์