สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือ เพื่อประกอบการจัดทำกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2571 – 2575) โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของการจัดให้มีการรับฟังความเห็นในระดับพื้นที่ 18 กลุ่มจังหวัด เพื่อให้กระบวนการจัดทำแผนพัฒนาฯ อยู่บนหลักการของการมีส่วนร่วมตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยการรับฟังความคิดเห็นในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 (กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ และอุทัยธานี) : เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 นางสาวจินนา ตันศราวิพุธ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน พร้อมด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สศช. เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 ณ โรงแรม เดอะ พาราดิโซ เจเค ดีไซน์ จังหวัดนครสวรรค์ โดยที่ประชุมฯ ให้ความสำคัญกับการมุ่งพัฒนาภาครัฐให้มีประสิทธิภาพและแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักประเทศกำลังพัฒนา การเร่งผลักดันนโยบายการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค การปรับแก้โครงสร้างภาษีเพื่อสร้างความได้เปรียบในเรื่องการแข่งขันให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น และการส่งเสริมภาคการเกษตรของไทยให้สามารถเข้าถึงปัจจัยการผลิตในราคาที่เป็นธรรม นอกจากนี้ ยังได้เสนอให้มุ่งเน้นสร้างความรู้ความเข้าใจในการเชื่อมโยงแผน 3 ระดับแก่ทุกภาคส่วน เพื่อสนับสนุนการถ่ายทอดแผนไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบโครงการ ซึ่งจะช่วยให้การขับเคลื่อนสามารถตอบสนองความต้องการของพื้นที่อย่างแท้จริง
กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 (ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก) : เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 นางสาวศศิธร พลัตถเดช รองเลขาธิการฯ พร้อมด้วยนางสาวจินนา ตันศราวิพุธ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สศช. เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 ณ โรงแรมแกรนด์ ริเวอร์ไซด์ จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งที่ประชุมได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาประเทศที่ควรให้ความสำคัญ อาทิ การพัฒนาคนทุกช่วงวัยและการสร้างสังคมที่เป็นธรรม เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงในทุกโอกาสและมีความยุติธรรม การปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการทำงานของภาครัฐให้สอดรับกับบริบทปัจจุบัน รวมทั้งการส่งเสริมให้นำงานวิจัยมาใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า เพื่อก่อให้เกิดเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม นอกจากนี้ ที่ประชุมเสนอแนวทางการจัดทำแผนพัฒนาฯ ให้มีความยืดหยุ่นและมีตัวชี้วัดที่เหมาะสม รวมทั้งจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมกับการถ่ายโอนภารกิจให้แก่หน่วยงานในระดับท้องถิ่น เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนโครงการตามแผนพัฒนาฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่และน่าน) : เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ รองเลขาธิการ ฯ พร้อมด้วยนางสาวจินนา ตันศราวิพุธ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สศช. เปิดเวทีหารือรับฟังความเห็นร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ณ โรงแรมแสน โฮเทล จังหวัดเชียงราย โดยที่ประชุมมุ่งเน้นการผลักดันพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานในกลุ่มจังหวัดให้เป็นโครงข่ายการคมนาคมขนส่งแบบครบวงจร ที่สามารถสนับสนุนการส่งออกสินค้าและผลิตภัณฑ์ในพื้นที่ไปยังต่างประเทศได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่ช่วยลดอุปสรรคและเพิ่มความสะดวกให้กับการค้าการลงทุนในพื้นที่ ตลอดจนการเร่งแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนของเกษตรกรไทย โดยการสนับสนุนให้ผลิตผลผลิตทางการเกษตรที่ได้มาตรฐานและสามารถจำหน่ายในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เสนอให้บูรณาการภาครัฐที่เกี่ยวข้องร่วมจัดทำแผนพัฒนาพื้นที่ เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนมีความต่อเนื่องและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน รวมทั้งจัดทำกลยุทธ์การสื่อสารแผนพัฒนาฯ ที่เข้าใจง่ายในวงกว้าง เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าใจแผนพัฒนาฯ และนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง
กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 (แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูนและลำปาง) : วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 นางสาวจินนา ตันศราวิพุธ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน พร้อมด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สศช. ร่วมหารือกับผู้ทรงคุณวุฒิในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ณ โรงแรม ดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่ โดยที่ประชุมให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของคนไทยผ่านระบบการศึกษาที่มีคุณภาพตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย และการปรับปรุงกฎระเบียบของภาครัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถให้ SME สามารถแข่งขันกับแหล่งทุนขนาดใหญ่ได้อย่างเป็นธรรม โดยที่ประชุมยังได้เสนอแนวทางการนำแผนพัฒนาฯ ไปใช้ประโยชน์ โดยจัดทำแผนพัฒนาฯ ที่แสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนของปัญหา เพื่อสื่อสารให้ประชาชนได้เข้าใจถึงทิศทางการพัฒนาของประเทศที่ควรให้ความสำคัญ รวมทั้งทดลองให้เอกชนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) และเมื่อประสบผลสำเร็จจึงขยายผลต่อเนื่องในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป
โดยสรุป ผู้ทรงคุณวุฒิในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ มีความเห็นว่า กรอบแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 14 ควรมุ่งเน้นการพัฒนาและปรับปรุงการบริหารจัดการภาครัฐ รวมทั้งกฎระเบียบต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนผ่านการศึกษาที่มีประสิทธิภาพและสร้างสังคมที่เป็นธรรม เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการเร่งพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อดึงดูดโอกาสการลงทุนจากทั้งในและนอกประเทศ โดยตลอดช่วงการลงพื้นที่ทั้ง 4 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือ สศช. ได้รับข้อเสนอที่เป็นประโยชน์และหลากหลายจากทุกภาคส่วน ซึ่งจะถูกรวบรวมและนำมาประมวลผลร่วมกับความคิดเห็นจากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิในเชิงลึกรายบุคคล รวมทั้งข้อมูลความคิดเห็นสาธารณะจากแพลตฟอร์มออนไลน์ ทั้งนี้ สศช. จะนำเรียนความก้าวหน้าการดำเนินการจัดทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 14 อย่างต่อเนื่องเป็นระยะ ผ่านช่องทางการสื่อสารหลักของ สศช. โดยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการจัดทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 14 ได้ที่ กองศึกษาและวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ (กศว.) โทร 02 280 4085 ต่อ 4425 หรือ srd@nesdc.go.th
เรื่อง: กองศึกษาและวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ (กศว.)ภาพ: กลุ่มประชาสัมพันธ์และห้องสมุดสุริยานุวัตร (ปส.) และสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคเหนือ (สพน.)