Accessibility

Accessibility Options

การหารือทวิภาคีระหว่างรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทยและเกาหลีใต้

เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2568 ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้หารือทวิภาคีกับนายคู ยุนชอล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สาธารณรัฐเกาหลี ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี โดยมีนางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐเกาหลี รวมทั้งคณะผู้แทนจากทั้งสองประเทศเข้าร่วมการหารือ

การหารือครั้งนี้มุ่งเน้นการยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนานวัตกรรมระหว่างไทยและสาธารณรัฐเกาหลี โดยทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมทั้งการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ เพื่อเสริมสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

การหารือได้เน้นย้ำบทบาทของสาธารณรัฐเกาหลีในฐานะประเทศต้นแบบด้านนโยบายดิจิทัล โดยเฉพาะในสาขา AI ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลให้เป็นกลไกสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การพัฒนาทักษะของประชาชน และการส่งเสริมภาคนวัตกรรมและสตาร์ทอัพ

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือแนวทางการส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคตที่สาธารณรัฐเกาหลีมีศักยภาพสูงและไทยมีความพร้อมรองรับ อาทิ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ พลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า ระบบสาธารณสุขอัจฉริยะ และ AI รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดต้นทุนทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

รองนายกรัฐมนตรีของไทยได้กล่าวเชิญชวนให้ภาคเอกชนเกาหลีใต้ขยายการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในสาขาพลังงาน เทคโนโลยี และนวัตกรรม ผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) พร้อมย้ำว่า รัฐบาลไทยได้กำหนดให้ ปี 2569 เป็น “ปีแห่งการลงทุนของไทย” เพื่อสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคง ยั่งยืน และขับเคลื่อนประเทศสู่การเติบโตเชิงคุณภาพ และได้เชิญรองนายกรัฐมนตรีคู ยุนชอล เข้าร่วมการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลก ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในปี 2569 เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนมุมมองทางเศรษฐกิจระดับโลก และเสริมสร้างความร่วมมือทางการเงินระหว่างประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น