Accessibility

Accessibility Options

สศช. ร่วมงานวันประชากรโลกประจำปี 2568

มื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 นายวิชญ์พิพล ติวะตันสกุล ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน ได้รับมอบหมายจาก นางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้เข้าร่วมงาน The World Population Day 2025 Commemoration “Empowering Rights and Choices for Everyone – Shaping a Sustainable Future” จัดโดย กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNFPA Thailand) ณ ห้องประชุมอินฟินิตี้ โรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ กรุงเทพฯ 
 
ภายในงานได้รับเกียรติจากนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดงานและปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Integrated policies to address Fertility challenges towards sustainable, life-cycle, and inclusive population development.” โดยเน้นย้ำถึงการร่วมกันขับเคลื่อนนโยบาย “5 x 5 ฝ่าวิกฤตประชากร” ซึ่งเป็นกรอบแนวทางสำคัญในการพัฒนาประชากรทุกช่วงวัย เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากร
 
นางสาวสิริลักษณ์ เชียงว่อง หัวหน้าสำนักงาน UNFPA ประเทศไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Unpacking UNFPA’s State of World Population Report 2025 – the Real Fertility Crisis” โดยได้กล่าวถึงรายงานสถานการณ์ด้านภาวะเจริญพันธุ์ในระดับโลก พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของเรื่องสิทธิและทางเลือกในการเข้าถึงอนามัยเจริญพันธุ์อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง
 
ในการนี้ นายวิชญ์พิพลฯ ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Inclusive Population Development: Fertility as part of life-cycle approach to aging population, Future of Thailand Economic and Social Development” โดยระบุว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญคลื่นความเปลี่ยนแปลงทางประชากรครั้งใหญ่ จากอัตราการเกิดที่ต่ำกว่าระดับทดแทนอย่างต่อเนื่อง โดยหญิงวัยเจริญพันธุ์เฉลี่ยมีบุตรเพียง 1 คน ส่งผลให้ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-aged Society) อย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าสัดส่วนประชากรสูงอายุจะเกินร้อยละ 28 ภายในเวลาไม่ถึง 10 ปี
 
แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนถึงค่านิยมของคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับอิสรภาพส่วนตัวและความก้าวหน้าในอาชีพมากกว่าการมีครอบครัว ทำให้ไทยกำลังเผชิญภาพ คน 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ไม่ต้องการมีลูก 
กลุ่มที่ต้องการมีลูกเมื่อพร้อม กลุ่มที่มีลูกเมื่อไม่พร้อม และกลุ่มคนที่มีอยากมีแต่มีลูกไม่ได้ รวมถึงกลุ่ม LGBTQ+ ที่มีข้อจำกัดด้านกฎหมายและการเข้าถึงเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ ส่งผลให้ประเทศเสียโอกาสในการมีประชากรในกลุ่มที่อยากมีบุตรและมีศักยภาพในการเลี้ยงดูบุตร
 
นายวิชญ์พิพลฯ เน้นย้ำว่า การแก้ปัญหาโครงสร้างประชากรของไทยไม่ควรจำกัดอยู่เพียงการเพิ่มสิทธิประโยชน์หรือสวัสดิการเพื่อจูงใจให้คนมีบุตรเพิ่มขึ้น เนื่องจากหลายประเทศพิสูจน์แล้วว่า แนวทางดังกล่าวไม่สามารถเพิ่มอัตราการเกิดได้ในระยะยาว ประเทศไทยจึงควรมุ่งสร้างสภาพแวดล้อม (ecosystem) ทั้งระบบที่เอื้อต่อการสร้างครอบครัวอย่างมีคุณภาพ บนฐานของการส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิ การเสริมพลังให้ทั้งหญิง ชาย และคู่รักทุกเพศ มีอิสระในการตัดสินใจเกี่ยวกับการมีบุตรและการสร้างครอบครัว โดยได้เสนอแนวคิด “1 ลด 2 พัฒนา” ดังนี้ 1) ลดต้นทุนในการดูแลเด็ก โดยมุ่งเน้นการพัฒนาการเข้าถึงการศึกษาคุณภาพ และการพัฒนาสถานรับเลี้ยงเด็กปฐมวัยที่ได้มาตรฐาน ครอบคลุมการดูแลเด็กอายุ 0 – 2 ปี เพื่อรองรับพ่อแม่ที่จำเป็นต้องกลับเข้าระบบการทำงาน 2) พัฒนาสภาพแวดล้อมการทำงาน สร้างสมดุลระหว่างการใช้ชีวิต การทำงาน การมีครอบครัว และ 3) พัฒนาเชิงพื้นที่ สร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สร้างงาน กระจายความเจริญสู่ภูมิภาค เพื่อลดการอพยพของคนวัยทำงานสู่เขตเมือง และเสริมบทบาทชุมชนเป็นฐานในการเลี้ยงดูเด็กอย่างมีคุณภาพ
 
ท้ายที่สุด นายวิชญ์พิพลฯ ได้เน้นย้ำว่าการกำหนดนโยบายต้องมองผ่านเลนส์ของเจเนอเรชันที่มีความต้องการที่หลากหลาย เพื่อให้ประชากรไทย สามารถ “เกิดดี อยู่ดี แก่ดี” อย่างมีคุณภาพ พร้อมกันนี้ 
ยังได้เชิญชวนผู้เข้าร่วมประชุมที่เป็นคนรุ่นใหม่ เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตประเทศไทย ผ่านเว็บไซต์ https://14thplan.nesdc.go.th เพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางของประเทศในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 
 
ข่าว/ภาพ: กองยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคม