Accessibility

Accessibility Options

ความท้าทายความสำเร็จของยุทธศาสตร์ชาติ ในมิติการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมไทย

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 นายวิชญ์พิพล ติวะตันสกุล ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน ได้รับมอบหมายให้เป็นวิทยากรบรรยาย ในหัวข้อ “ความท้าทายความสำเร็จของยุทธศาสตร์ชาติ ในมิติการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมไทย” หลักสูตรฝึกอบรมนักบริหารการแพทย์และสาธารณสุขระดับสูง (น.บ.ส.) รุ่น 41 ณ วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุข (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์) จังหวัดนครปฐม ทั้งนี้ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 และแผนระดับต่าง ๆ สถานการณ์สำคัญด้านเศรษฐกิจและสังคม พร้อมทั้งแนวทางในการขับเคลื่อนการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ของหน่วยงาน และสุดท้ายผู้เข้ารับการอบรม ได้ทราบถึงโอกาสและอุปสรรคของไทยในการเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจรายได้สูง พร้อมทั้ง มีการแลกเปลี่ยนความเห็นร่วมกัน โดยมีผู้เข้ารับการฝึกอบรม ประมาณ 75 ราย จากโรงพยาบาลประจำจังหวัดและสำนักงานสาธารณสุขทั่วประเทศ

  • ช่วงแรก ได้กล่าวถึงความจำเป็น แนวทางในการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนปฏิรูปประเทศ และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประกอบด้วย สาระสำคัญของยุทธศาสตร์ชาติ 6 ด้าน แผนปฏิรูปประเทศ 13 ด้าน (ซึ่งบรรลุผลสัมฤทธิ์ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2565 แล้ว) และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 23 ประเด็น รวมทั้งกลไกการขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ ไปสู่การปฏิบัติ โดยเฉพาะแผนแม่บทฯ ที่มีกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นหน่วยงานเจ้าภาพ ได้แก่ แผนแม่บทฯ ประเด็นที่ 13 การเสริมสร้างให้คนไทยมีสุขภาวะที่ดี ซึ่งจากผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ ประจำปี 2567 ประเด็นดังกล่าว ยังอยู่ในระดับเสี่ยงต่อการบรรลุเป้าหมาย โดยมีประเด็นท้าทายที่ทำให้ยังไม่บรรลุเป้าหมาย อาทิ การขาดมาตรการเชิงรุกในการสร้างทักษะและความพร้อมของพ่อแม่ตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ การพัฒนาการเข้าถึงสวัสดิการและการบริการของประชาชนยังขาดประสิทธิภาพ รวมถึง ยังขาดการเชื่อมโยงข้อมูลเด็กตั้งแต่แรกเกิด ซึ่ง สธ. ควรให้ความความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมด้านสุขภาพและโภชนาการพ่อแม่ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ มีการพัฒนาทักษะ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการเด็กในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการใช้และการเข้าใจภาษา ซึ่งเด็กไทยมีความล่าช้ามาก มีมาตรการเชิงรุกเพื่อช่วยเหลือ โดยเฉพาะพ่อแม่ในกลุ่มเปราะบาง อาทิ พ่อแม่วัยรุ่น ครัวเรือนแหว่งกลาง ครัวเรือนยากจน มีการดำเนินงานเชิงรุก โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลและด้อยโอกาส เช่น การจัดตั้งทีมเคลื่อนที่ ที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ อาทิ แพทย์ พยาบาล และผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก และให้ความสำคัญกับการบูรณาการฐานข้อมูลและระบบติดตามเด็กตั้งแต่แรกเกิดอย่างต่อเนื่อง ใช้ชุมชนเป็นผู้เก็บข้อมูลระดับครัวเรือน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนข้อมูลและการดำเนินงานเก็บข้อมูล นอกจากนี้ ยังมีแผนแม่บทฯ ประเด็นที่ 5 การท่องเที่ยว และประเด็นที่ 11 การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต ที่ สธ. มีบทบาทในการร่วมขับเคลื่อนที่สำคัญ และกล่าวถึงสาระสำคัญและแนวทางการขับเคลื่อน ติดตามผลแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 รวมถึงแผนระดับที่ 3 และแผนพัฒนาฯ ด้านอื่น ๆ ที่ สธ. ต้องเข้าไปมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ อาทิ แผนพัฒนาภาค แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด หรือแม้กระทั่งแผนพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน
  • ช่วงที่สอง กล่าวถึงสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ โดยเปรียบเทียบหนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนของไทยกับประเทศต่าง ๆ อาทิ ประเทศกลุ่มมหาอำนาจ ประเทศกลุ่มกำลังพัฒนา และประเทศสำคัญใน ASEAN โดยหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทย อยู่ในระดับสูง ซึ่งเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2568 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.1 ต่อเนื่องจากไตรมาสที่สี่ของปี โดยมีการขยายตัวของการส่งออกสินค้าและการลงทุนภาครัฐสูงขึ้น แต่การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลชะลอตัว รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนลดลงต่อเนื่อง และกล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.3 – 2.3 โดยมีปัจจัยสนับสนุน อาทิ การเพิ่มขึ้นของแรงสนับสนุนจากรายจ่ายภาครัฐโดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน การขยายตัวของการใช้จ่ายในหมวดบริการและหมวดสินค้าไม่คงทน แต่ยังมีข้อจำกัดจากภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง ในส่วนของปี 2569 ได้ปรับประมาณการ โดยคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.1 – 2.1 (ค่ากลาง 1.6) ทั้งนี้ มีข้อกังวลที่สำคัญ คือ ผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกา สถานการณ์ด้านสังคม กล่าวถึง สถานการณ์แรงงานไตรมาสหนึ่ง ปี 2568 ปรับตัวลดลง โดยผู้มีงานทำ มีทั้งสิ้น จำนวน 39.4 ล้านคน ลดลงจากไตรมาสหนึ่งของปี 2567 ร้อยละ 0.5 จากการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมที่ลดลงอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.1 ส่วนนอกภาคเกษตรกรรมปรับตัวดีขึ้น ที่ร้อยละ 0.5 โดยเฉพาะสาขาโรงแรม/ภัตตาคารยังคงขยายตัวได้ที่ร้อยละ 3.5 ชั่วโมงการทำ OT ลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับแรงงานที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรม ค่าแรง มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น หนี้สินครัวเรือนมีการปรับตัวลงเล็กน้อง แต่ยังคงอยู่ในสถานะที่น่าเป็นห่วง โดยส่วนใหญ่ขยายตัวในส่วนสินเชื่อส่วนบุคคล Personal Loan และการซื้ออสังหาริมทรัพย์สำหรับ NPL มูลค่า 1.74 แสนล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 10.5 พบในสาขาที่อยู่อาศัย ร้อยละ 29.1 สำหรับ SML Special Mention Loan (สินเชื่อค้างชำระ 30 – 90 วัน) มีมูลค่า 0.57 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวม ร้อยละ 4.17 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงคนไทยมีพฤติกรรมติดหรู ก่อให้เกิดการก่อหนี้เกินตัว คดีอาญาและผู้ประสบเหตุจราจรทางบกเพิ่มขึ้น ปัญหาการจ้างงานเด็กจบใหม่ เนื่องจากขาดประสบการณ์และมีปัญหาด้านการปรับตัวและยังมีประเด็นด้านสุขภาพและโรคระบาดต่าง ๆ ที่ต้องระวัง อาทิ การแพร่ระบาดโรค COVID-19 โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะโรคซิฟิลิส และโรคเอชไอวี (HIV) 
  • ช่วงท้าย กล่าวถึง โอกาสและอุปสรรคของไทย ในการเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจรายได้สูง โดยพิจารณาตั้งแต่ความเสี่ยงในระดับโลกที่ส่งผลกระทบต่อไทย จาก “The Global Risks Report 2024” สำรวจโดย World Economic Forum ซึ่งคาดการณ์ว่าในช่วง 2 ปีข้างหน้า ความเสี่ยงรุนแรง 3 อันดับแรก คือ ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ สภาพอากาศรุนแรงแบบสุดขั้ว (Extreme weather ) ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี ได้แก่ ข้อมูลเท็จและการบิดเบือนจาก AI (AI-generated misinformation and disinformation) และความเสี่ยงด้านสังคม ได้แก่ การแบ่งขั้วทางสังคม (Societal polarization) ส่วนความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ในอีก 10 ปี ข้างหน้า นำด้วยความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ สภาพอากาศรุนแรงแบบสุดขั้ว (Extreme weather) การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อระบบโลก (Critical change to Earth systems) การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศล่มสลาย (Biodiversity loss and ecosystem collapse) ตามด้วยความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีและสังคม นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงภัยคุกคามที่มีต่อไทย 5 ประการ คือ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Economic downturn) ปัญหามลพิษ (Pollution) การขาดแคลนแรงงาน (Labour shortage) หนี้ครัวเรือน (Household debt) และความไม่เท่าเทียมทางความมั่งคั่งและรายได้ (Inequality (wealth,income)) ซึ่งสอดคล้องกับอุปสรรคหรือข้อจำกัดของไทยที่มีหลายประการ อาทิ ภาระหนี้สินครัวเรือนอยู่ในระดับสูง การพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวทำให้เศรษฐกิจไทยมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอก ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้และโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรและบริการต่าง ๆ ยังคงเป็นปัญหาสำคัญ ปัญหาคนว่างงาน/ขาดแรงงานที่มีทักษะ การเปลี่ยนทางสภาพภูมิอากาศ/ปัญหาสิ่งแวดล้อม ประสิทธิภาพและธรรมาภิบาลของภาครัฐที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่เมื่อพิจารณาแล้ว ไทยยังมีโอกาสที่สำคัญ อาทิ ประเทศไทยมีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญ ภาคเกษตรยังคงมีความสำคัญและสามารถพัฒนาไปสู่การเป็นเกษตรมูลค่าสูงได้ การดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง จะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจและการทำข้อตกลงทางการค้า จะช่วยเปิดโอกาสในการส่งออกสินค้าและบริการ ซึ่งมีแนวทางการพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพารายได้จากการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ และหันไปเน้นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ในภาคส่วนต่าง ๆ ส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยเฉพาะควรมีการพัฒนาการแพทย์มูลค่าสูง โดยมีหน่วยงาน/กลไกหลักในการบูรณาการการพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมและบริการทางการแพทย์บนฐานนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงทั้งระบบอย่างมีประสิทธิภาพ การลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา การรักษาพยาบาลและสวัสดิการต่าง ๆ การส่งเสริมธรรมาภิบาล โดยสร้างความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในการบริหารจัดการภาครัฐ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จัดการศึกษาและฝึกอบรมให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และในเรื่องการพัฒนาระบบสุขภาวะ นอกจาก สธ. แล้ว ควรเป็นหน้าที่ของทุกหน่วยงานและทุกคน อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ ควรเน้นการเรียนการสอนเกี่ยวกับการดูแลตนเองและการรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ รวมถึงการเสริมสร้างสุขภาพให้เหมาะสมตามวัย ตั้งแต่เด็ก กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ควรเน้นผลิตนักศึกษาที่เรียนสายสุขภาพ ให้มีสามารถถ่ายทอด Health Literacy แก่ประชาชน และเน้นการผลิตแพทย์ พยาบาลแบบพุ่งเป้า เพื่อลดการขาดแคลนบุคลากร กระทรวงแรงงาน ควรเน้นให้มีการดูแลแรงงานให้มีสภาพการทำงานและสุขภาวะที่ดี สุดท้ายชุมชน และ ประชาชน ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวให้มีสุขภาวะที่ดี นอกจากนี้ ด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่น่าเป็นกังวลในปัจจุบัน ยังเสนอแนะให้ทุกภาคส่วนน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในการจัดทำแผนงาน/โครงการ การบริหารจัดการองค์กร รวมถึงเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตในทุกระดับอีกด้วย 

ข่าว/ภาพ: นางสาวโชโนรส  มูลสภา กองยุทธศาสตร์การพัฒนาความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางสังคม (กสท.)