|
ข้อกำหนดการศึกษา
โครงการวางแผนผังการพัฒนา
เมืองศูนย์กลางการบินสุวรรณภูมิ
|
Suvarnabhumi
Aerotropolis Development Plan
|
|
|
1. เหตุผลและความจำเป็น
|
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงข่ายคมนาคมขนส่ง
ได้แก่ท่าเรือ เส้นทางขนส่งทางน้ำ (แม่น้ำลำคลอง) เส้นทางรถไฟ โครงข่ายถนน
และสนามบิน ได้มีอิทธิพลสำคัญในการกำหนดรูปแบบการขยายตัวของเมือง นับตั้งแต่มีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์อย่างเป็นระบบเป็นต้นมา
ซึ่งการขยายตัวของเมืองที่สำคัญส่วนใหญ่ของโลกก็ได้มีการวิวัฒนาจากเมืองท่าชายฝั่งทะเลหรือเมืองก่อตั้งขึ้นบนฝั่งแม่น้ำหรือลำคลองใหญ่
บางเมืองก็เกิดขึ้นจากการเป็นชุมทางขนส่งทางรถไฟ หรือการขนส่งทางรถยนต์
ตลอดจนล่าสุดการขนส่งทางอากาศ โดยสนามบินได้เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของการพัฒนาเมืองในพื้นที่ต่อเนื่องจากสนามบิน
|
โลกยุคปัจจุบันคริสต์ศตวรรษที่ 21 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทางเศรษฐกิจ
สังคม และการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม
ซึ่งมีการแข่งขันด้านความรวดเร็วเป็นสำคัญ ดังนั้นการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมในยุคโลกาภิวัตน์
จึงจำเป็นต้องอาศัยหลักของความรวดเร็ว ยืดหยุ่นและเชื่อถือได้ในกระบวนการขนส่งคนและสินค้า
ในการนี้สนามบินจะมีบทบาทสำคัญยิ่งในกระบวนการดังกล่าว ดังนั้นการวางแผนผังการพัฒนาเมืองศูนย์กลางการบินจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ
ดังตัวอย่างที่ปรากฏในประเทศต่างๆ เช่น สนามบินดัลลัส สนามบินโอแฮร์ของสหรัฐอเมริกา
สนามบินอินชอน เกาหลีใต้ สนามบินแลนทัว ฮ่องกง สนามบินแห่งใหม่ของกรุงกัวลาลัมเปอร์
มาเลเซีย เป็นต้น สำหรับประเทศไทยการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิที่จังหวัดสมุทรปราการซึ่งกำหนดจะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ได้ในปี
2548 และจะมีการย้ายกิจกรรมการบินที่สนามบินดอนเมือง (ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพ)
ทั้งหมดไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ และในอนาคตสนามบินสุวรรณภูมิจะกลายเป็นศูนย์การการบินที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก
ดังนั้นการวางแผนผังการพัฒนาเมืองศูนย์กลางการบินสุวรรณภูมิจึงมีความสำคัญต่อ
การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย
|
ประเทศไทยเริ่มจัดทำการวางแผนผังการพัฒนานครหลวงเป็นครั้งแรกเมื่อปี
2503 (Greater Bangkok Plan 2533) สำหรับระยะเวลา 30 ปีล่วงหน้า โดยบริษัทที่ปรึกษา
Litchfield Whiting Bowne and Associates งานดังกล่าวเป็นการวางแผนและผังของกรุงเทพฯ
ธนบุรี นนทบุรีและสมุทรปราการ เช่น ด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน ด้านการคมนาคมขนส่ง
ด้านสาธารณูปโภค ด้านสาธารณูปการ ด้านบริการสังคม ด้านสันทนาการ ด้านการเงินเพื่อลงทุนโครงการ
เป็นต้น โดยใช้ข้อมูลทางการขยายตัวของ ประชากร เศรษฐกิจและความต้องการในการใช้ที่ดินในอนาคตเป็นปัจจัยในการวางแผน
จากนั้นมาหน่วยงานภาครัฐก็ได้ใช้แผนดังกล่าวเป็นแผนชี้นำการดำเนินงานในระยะต่อ
ๆ มา
|
ในขณะที่ช่วงปี 25242525 รัฐบาลไทยก็ได้มีการจัดทำแผนผังในลักษณะดังกล่าวเช่นเดียวกันในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก
โดยบริษัทที่ปรึกษานำโดยบริษัท Coopers & Lybrand Associates ได้มีการวางแผนและผังการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชลบุรีและระยอง
ในด้านต่างๆ เบ็ดเสร็จ เช่น ด้านการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อพัฒนาท่าเรือและนิคมอุตสาหกรรม
ด้านที่อยู่อาศัย ด้านจ้างงาน ด้านคมนาคมขนส่ง ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านบริการทางสังคม
ด้านน้ำประปาและน้ำเสีย ด้านท่องเที่ยว ด้านสาธารณูปโภค/สาธารณูปการอื่น
ด้านการเงินลงทุนโครงการ และด้านการนำแผนงานไปปฏิบัติ เป็นต้น ภายหลังการจัดทำแผนผังแล้วเสร็จ
รัฐบาลก็ได้นำแผนและผังดังกล่าวมากำหนดเป็นนโยบายสำคัญของประเทศ และได้นำโครงการมาก่อสร้างดำเนินการมาตามลำดับ
|
จากนั้นมารัฐบาลไทยก็ได้มีการศึกษาเพื่อวางแผนผังการพัฒนาเช่นที่กล่าวมาข้างต้นขยายไปสู่ภูมิภาคอื่น
ๆ อีกหลายโครงการ เช่น การศึกษา Western Seaboard Regional Development
Master Plan ซึ่งศึกษาโดย JICA ในปี 25382539 การศึกษา Eastern Seaboard
Development ProgramPhase 2 โดย Belgian Administration for Development
and Cooperation ในปี 25382539 การศึกษาวางผังเค้าโครงการพัฒนาภาคสำหรับประเทศไทย
โดยกลุ่ม Norconsult เมื่อปี 25392540 เป็นต้น
|
ในช่วงปี 2536-2538 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(สศช.) ได้ว่าจ้างกลุ่มที่ปรึกษานำโดย บริษัท Norconsult International
A.S. ศึกษาโครงการระบบบริการพื้นฐานสำหรับรองรับท่าอากาศยานสากลกรุงเทพ
แห่งที่สอง โดยเน้นการศึกษาเพื่อวางแผนพัฒนาพื้นที่ในด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน
การวางระบบสาธารณูปโภค/สาธารณูปการ ศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และการเงินสำหรับลงทุนไปในอนาคตจนถึงปี
2543 ในพื้นที่รัศมี 30 กิโลเมตร โดยรอบสนามบินสุวรรณภูมิ ดังมีรายงานสรุปสำหรับผู้บริหาร
(เดือน สิงหาคม 2537) ดังแนบมาพร้อมนี้
|
การศึกษาของ Norconsult ข้างต้น ได้ใช้เป็นพื้นฐานสำหรับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องหลายหน่วย
รับไปดำเนินการในรายละเอียด และดำเนินการก่อสร้างแล้ว อย่างไรก็ตามยังมีข้อเสนอแนะอีกเป็นจำนวนมากที่จนถึงปัจจุบันยังมิได้มีการดำเนินการแต่ประการใด
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องนำมาทบทวนใหม่ และขยายขอบเขตการศึกษาของโครงการนี้ให้ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ
100 กิโลเมตร โดยรอบสนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีช่วงเวลาในการวางแผนจนถึงปี
2578
|
นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครและกรมการผังเมือง
ได้จัดทำผังเมืองรวมออกบังคับใช้ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งผังเมืองรวมดังกล่าวจะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตรอบๆ
สนามบิน และจะต้องนำมาประกอบในการศึกษาครั้งนี้ด้วย
|
2. สนามบินสุวรรณภูมิ
|
ปัจจุบันโครงการขนาดใหญ่ของชาติที่กำลังดำเนินการอยู่
ได้แก่ การก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ที่จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งกำหนดจะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ได้ในปี
2548 จากนั้นจะย้ายกิจกรรมการบินที่สนามบินดอนเมือง (ท่าอากาศยานกรุงเทพ)
ทั้งหมดไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ ดังนั้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าสนามบินสุวรรณภูมิจะกลายเป็นจุดศูนย์กลางการบินในภูมิภาคอาเซียนที่สำคัญ
|
ปัจจุบันการขนส่งทางอากาศ มีบทบาทสำคัญสนับสนุนระบบการค้าโลกและมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตลอดจนการปรับตัวของประเทศต่าง ๆ ในทุกภูมิภาคของโลกต่อกระแสการค้าเสรีและการพัฒนาของยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ
ซึ่งต้องการความรวดเร็วและประสิทธิภาพด้านเวลาในการดำเนินธุรกิจ การพัฒนาด้านการขนส่งทางอากาศของประเทศไทย
ส่งผลให้แนวทางการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ประกอบด้วยการใช้ประโยชน์ที่ดิน
ความเชื่อมโยงระบบการขนส่งทางอากาศ ทางบก ทางน้ำ การพัฒนาเมืองและชุมชนเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ
สังคม และเตรียมการรับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ในรัศมีประมาณ 100 กิโลเมตร
โดยมีสนามบินสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลาง สำหรับระยะเวลา 30 ปีในอนาคตข้างหน้า
จนถึงปี 2578
|
3. วัตถุประสงค์ของการวางแผนและผังการพัฒนา
|
การศึกษาเพื่อการวางแผนผังการพัฒนาเมืองศูนย์กลางการบินสุวรรณภูมิมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ
ดังนี้
|
(1) เพื่อศึกษาถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของภาคมหานครจากการโยกย้ายกิจกรรมการบินทั้งหมด
จากสนามบินดอนเมืองไปสนามบินสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่จะเกิดโดยตรงต่อพื้นที่โดยรอบสนามบินทั้งสองในรัศมี
510 กิโลเมตร จากสนามบิน พร้อมให้เสนอแนะวิธีลดผลกระทบดังกล่าว
|
(2) การวางแผนผังการพัฒนาเมืองศูนย์กลางการบินสุวรรณภูมิระดับมหภาคในระยะเวลา
30 ปีข้างหน้าจนถึงปี 2578 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่รัศมีประมาณ 100 กิโลเมตร
จากสนามบินสุวรรณภูมิและแผนผังดังกล่าวประกอบด้วย 2 แผนผังหลักคือ
|
- แผนผังการใช้ที่ดินระดับมหภาคของพื้นที่โดยรอบสนามบิน
เพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองศูนย์กลางการบิน จนถึงปี 2578 ทั้งนี้แผนผังการใช้ที่ดินมหภาคจะต้องกำหนดรูปแบบการใช้ที่ดินอย่างชัดเจน
เช่น พื้นที่ชุมชนเมืองใหม่ พื้นที่รองรับแผนป้องกันน้ำท่วม พื้นที่พัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากกิจกรรมการบิน
พื้นที่อนุรักษ์เพื่อเกษตรกรรม พื้นที่สันทนาการ ฯลฯ
|
- โครงข่ายการเชื่อมโยงระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการต่างๆ
ระหว่างสนามบินสุวรรณภูมิกับพื้นที่กรุงเทพมหานคร พื้นที่อุตสาหกรรมชายฝั่งทะเลตะวันออก
พื้นที่ภาคกลางตอนบน พื้นที่ภาคกลางด้านตะวันตก
|
(3) ทบทวนและปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์ที่
สศช. ได้ทำไว้ในโครงการศูนย์กลางการผลิต และขนส่งทางอากาศยานนานาชาติที่สนามบินอู่ตะเภา
(Global TransPark) พร้อมทั้งจัดทำข้อเสนอว่า ไทยควรจะมียุทธศาสตร์ในการใช้สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศไทยทางเศรษฐกิจ
และสังคม ที่จะเชื่อมโยงกับการขนส่งทางอากาศที่สนามบินสุวรรณภูมิอย่างใด
|
(4) จัดทำแผนและผังของการพัฒนาในพื้นที่ตามข้อ
(2) เป็นแผนระยะ 5 ถึง 10 ปี แผนระยะ20 ปี และแผนระยะ 30 ปี ในลักษณะเดียวกับแผน
Litchfield ที่จัดทำเมื่อปี 2503 หรือแผนของ Coopers & Lybrand เมื่อปี
2525
|
(5) ให้ทบทวนการศึกษาของ สศช. ในช่วงปี
2536-2538 ที่จัดทำโดยบริษัทที่ปรึกษา Norconsult ว่าการกำหนดพื้นที่พิเศษแห่งใหม่สำหรับรองรับการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิในด้านอุตสาหกรรมที่ปลอดมลพิษและการสร้างชุมชนเมืองสำหรับการค้า
และที่อยู่อาศัย เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ อันเป็นผลจากการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมินั้น
ควรมีการปรับเปลี่ยนอย่างใดหรือไม่ หรือควรเสนอแนะพื้นที่พิเศษแห่งใหม่อื่นๆ
เพื่อการพัฒนานี้อีกหรือไม่ พร้อมทั้งจัดทำผังการใช้ประโยชน์ที่ดินและผังสาธารณูปโภค/สาธารณูปการ
สำหรับพื้นที่พิเศษนี้สำหรับอนาคต
|
(6) จัดทำแผนปฏิบัติการ พร้อมทั้งวิเคราะห์แผนการเงินสำหรับการลงทุนพัฒนา
|
4. วิธีดำเนินงาน
|
เพื่อให้ได้ผลตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
บริษัทที่ปรึกษาจะต้องดำเนินงานตามหลักวิชาชีพที่เป็นมาตรฐานในงานบริการให้คำปรึกษา
โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จะประสานกับบริษัทที่ปรึกษาเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปโดยมีประสิทธิภาพ
และปฏิบัติงานสำเร็จภายในเวลาที่กำหนด
|
การดำเนินงานศึกษาครั้งนี้ บริษัทที่ปรึกษาจะต้องรวบรวมผลการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ศึกษาจากหน่วยงานต่างๆ
เพื่อนำมาเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการศึกษาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ
สังคม การผังเมือง การลงทุน สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ทั้งนี้ บริษัทที่ปรึกษาจะต้องทบทวนและปรับข้อมูลดังกล่าวให้ทันสมัย
และถูกต้องอย่างดีที่สุด เพื่อใช้เป็นฐานในการพยากรณ์ไปในอนาคต โดยใช้หลักวิชาการในแต่ละสาขาซึ่งเป็นที่ยอมรับ
|
รายงานที่ได้จากการดำเนินงานขั้นสุดท้ายจะประกอบด้วยข้อมูลด้านการวิเคราะห์ด้านข้อเสนอแนะ
และมีผังรายละเอียดประกอบ เพื่อนำไปดำเนินการขั้นต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
|
5. ระยะเวลาดำเนินงาน
|
ใช้เวลา 12 เดือน นับจากวันที่เริ่มดำเนินการศึกษา
|
6. รายงานการศึกษาและการส่งมอบรายงาน
|
บริษัทที่ปรึกษาจะต้องดำเนินการศึกษาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา
12 เดือน โดยในระหว่างการศึกษา ที่ปรึกษาจะต้องจัดทำรายงานการศึกษา และการส่งมอบรายงาน
ดังนี้
|
- รายงานการศึกษาขั้นต้น (Inception
Report) จำนวน 80 ฉบับ เป็นภาษาไทย โดยจัดส่งให้ สศช. ภายใน 30 วัน
นับจากวันที่เริ่มดำเนินงาน
- รายงานความก้าวหน้าประจำเดือน (Monthly
Progress Report) จำนวน 40 ฉบับ เป็นภาษาไทย โดยจัดส่งให้ สศช. สิ้นเดือนนับแต่วันที่เริ่มดำเนินงาน
- รายงานการศึกษาขั้นกลางฉบับที่ 1
(Interim Report 1)จำนวน 80 ฉบับ เป็นภาษาไทย โดยจัดส่งให้ สศช. ภายในสิ้นเดือนที่
4 นับจากวันที่เริ่มดำเนินงาน เนื้อหาของรายงานฉบับนี้จะเป็นผลการดำเนินงานทั้งหมดในช่วงเวลาการศึกษาที่ผ่านมา
- รายงานการศึกษาขั้นกลาง ฉบับที่
2 (Interim Report 2) จำนวน 80 ฉบับ เป็นภาษาไทย โดยจัดส่งให้ สศช.
ภายในสิ้นเดือนที่ 7 นับจากวันที่เริ่มดำเนินงาน เนื้อหาของรายงานฉบับนี้จะเป็นผลการดำเนินงานทั้งหมดในช่วงเวลาการศึกษาที่ผ่านมา
- รายงานการศึกษารายสาขา จำนวน 5 สาขา
สาขาละ 100 ฉบับเป็นภาษาไทย โดยจัดส่งภายในสิ้นเดือนที่ 11 นับจากวันที่เริ่มดำเนินงาน
- ร่างรายงานการศึกษาขั้นสุดท้าย (Draft
Final Report) จำนวน 200 ฉบับ เป็นภาษาไทย พร้อมทั้งร่างบทสรุปสำหรับผู้บริหารเป็นภาษาไทย
จำนวน 200 ฉบับ โดยจัดส่งให้ถึง สศช. ภายในสิ้นเดือนที่ 10 นับจากวันที่เริ่มดำเนินงาน
- การจัดสัมมนาบริษัทที่ปรึกษาจะต้องจัดสัมมนาเสนอผลการศึกษา
โดยมีผู้ร่วมสัมมนาประมาณ 300 คน เพื่อเผยแพร่ผลการศึกษาและสร้างความเข้าใจแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง
โดยจะต้องจัดสัมมนาประมาณ 2 สัปดาห์ หลังจากส่ง Draft Final โดยที่บริษัทจะต้องจัดทำเอกสารเพื่อการสัมมนาด้วย
- รายงานการศึกษาขั้นสุดท้าย (Final
Report) จะต้องส่งรายงาน จำนวน 500 ฉบับ เป็นภาษาไทย 400 ฉบับ และภาษาอังกฤษ
100 ฉบับ และบทสรุปสำหรับผู้บริหาร จำนวน 1,000 ฉบับ เป็นภาษาไทย 700
ฉบับ และภาษาอังกฤษ 300 ฉบับ พร้อมทั้งจัดทำในรูปแบบ CD ROM จำนวน
500 แผ่น โดยจัดส่งให้ สศช. ภายในสิ้นเดือนที่ 12 นับจากวันที่เริ่มดำเนินงาน
- แผ่นพับสีสรุปสาระสำคัญของการศึกษาทั้งหมดเพื่อการประชาสัมพันธ์โครงการ
เป็นภาษาไทย จำนวน 1,000 แผ่น
|
|