|
การพัฒนากิจการท่าอากาศยานไทย
|
|
โดย ยุทธศักดิ์ คณาสวัสดิ์
- เศรษฐศาสตร์นอกตำรา
|
|
ประเทศไทยเรานับว่าตั้งอยู่ในจุดภูมิยุทธศาสตร์ที่ดีมากในการเชื่อมโยงภูมิภาคต่างๆ
คือ จีน อินโดจีน อาเซียน และเอเซียใต้เข้าด้วยกัน นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพทางเศรษฐกิจแข็งแกร่งเพียงพอที่จะใช้ความได้เปรียบทางภูมิยุทธศาสตร์นี้ให้เป็นประโยชน์
|
|
ก้าวสำคัญของไทยเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้
คือ ท่าอากาศยานของกรุงเทพมหานครแห่งใหม่ซึ่งกำหนดเปิดดำเนินการปี
2548 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า "ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ" อันมีความหมายว่า "แผ่นดินทอง"
|
|
ประเทศไทยเริ่มมีท่าอากาศยานแห่งแรกในปี
2453 เมื่อชาวต่างประเทศนำเครื่องบินมาแสดงการบินให้ประชาชนชาวไทยชมที่บริเวณสนามม้าสระปทุม
ซึ่งปัจจุบันคือสนามม้าของราชกรีฑาสโมสร ซึ่งต่อมาในปี 2456 กระทรวงกลาโหมได้จัดตั้งสนามบินขึ้นบนสถานที่แห่งนี้โดยตั้งชื่อว่า
สนามบินสระปทุม นับเป็นสนามบินแห่งแรกของประเทศไทย
|
|
กิจการบินในประเทศไทยได้เจริญเติบโตขึ้น
ประกอบกับสนามบินสระปทุมมีพื้นที่คับแคบและมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ไม่เหมาะสม
กระทรวงกลาโหมจึงพิจารณาหาสถานที่ใหม่เพื่อจัดตั้งเป็นสนามบิน ในที่สุดได้พิจารณาเลือกพื้นที่ตอนเหนือของกรุงเทพมหานคร
คือ ดอนเมือง เนื่องจากเป็นที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึงและไม่ห่างไกลจากกรุงเทพมหานครมากนัก
ซึ่งการก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อต้นปี 2457 และตั้งชื่อว่า สนามบินดอนเมือง
ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า ท่าอากาศยานกรุงเทพ
|
|
ต่อมารัฐบาลได้ว่าจ้างบริษัทลิชฟิลด์มาวางผังเมืองกรุงเทพมหานครในปี
2503 ซึ่งผลการศึกษาเสนอความเห็นว่ากรุงเทพมหานครควรมีสนามบินพาณิชย์อีกแห่งหนึ่งเพื่อแยกเครื่องบินพลเรือนออกจากเครื่องบินทหาร
และเพื่อให้สอดคล้องกับการเจริญเติบโตของกรุงเทพมหานครซึ่งจะเติบโตในอนาคต
|
|
ในปี 2504 รัฐบาลในสมัยจอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์ จึงได้มอบหมายกระทรวงคมนาคมให้ทำการศึกษาเกี่ยวกับสถานที่ก่อสร้างสนามบินพาณิชย์แห่งใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดผังเมืองกรุงเทพมหานคร
ซึ่งการศึกษาพบว่าพื้นที่เหมาะสมที่สุด คือ หนองงูเห่า อำเภอบางพลี
จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 25 กม. ทั้งนี้
ทำเลที่ตั้งของหนองงูเห่านับว่าแตกต่างจากดอนเมืองอย่างมาก กล่าวคือ
ขณะที่พื้นที่ดอนเมืองเป็นที่ดอน น้ำท่วมไม่ถึง แต่พื้นที่หนองงูเห่ากลับเป็นที่ลุ่ม
|
|
ก้าวสำคัญของโครงการท่าอากาศยานหนองงูเห่า
คือ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2516 มีการลงนามในสัญญาก่อสร้างและดำเนินกิจการท่าอากาศยานแห่งใหม่
โดยพลเอกพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย
และนาย Glenn R. Lord เป็นผู้ลงนามฝ่ายบริษัทนอร์ทรอปแอร์ปอร์ตดีเวลลอปเม้นท์ของสหรัฐฯ
|
|
ตามสัญญาข้างต้น บริษัทนอร์ทรอปฯ
จะรับผิดชอบด้านจัดทำแผนหลักแม่บท ออกแบบ ดำเนินงาน วิศวกรรม และก่อสร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่
เมื่อโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่แล้วเสร็จในปี 2521 ประเทศไทยจะมีท่าอากาศยานที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
|
|
รัฐบาลไทยจะรับมอบท่าอากาศยานแห่งใหม่จากบริษัทโดยไม่คิดมูลค่า
ส่วนบริษัทจะได้รับสัมปทานดำเนินการ 20 ปี เป็นการตอบแทน และจะต้องชำระค่าสัมปทานไม่ต่ำกว่า
1,000 ล้านบาท และรัฐบาลไทยมีสิทธิ์ซื้อสัมปทานคืนเมื่อใดก็ได้ ทั้งนี้
หากธุรกิจท่าอากาศยานของบริษัทประสบผลสำเร็จและมีกำไรสะสมเกินกว่าที่คาดหมายไว้
จะต้องแบ่งผลกำไรเพิ่มเติมให้แก่รัฐบาลไทย
|
|
อย่างไรก็ตาม โครงการก่อสร้างสนามบินที่หนองงูเห่าก็กลายเป็นฝันสลาย
เนื่องจากเผชิญกับเสียงคัดค้านมากมายเกี่ยวกับการให้สัมปทานแก่บริษัทนอร์ทรอปฯ
ซึ่งไม่ทราบว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรบ้าง อย่างไรก็ตาม หากว่าไปแล้วก็นับว่าคล้ายคลึงกับม็อบต่อต้านโรงไฟฟ้าและท่อก๊าซในปัจจุบัน
ทำให้โครงการต้องล้มเลิกไป
|
|
ต่อมาในปี 2526 รัฐบาลได้รื้อฟื้นโครงการท่าอากาศยานแห่งใหม่อีกครั้งหนึ่ง
โดยการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ได้จ้างกลุ่มบริษัท NACO เป็นวิศวกรที่ปรึกษา
เพื่อวางแผนแม่บท ซึ่งการศึกษาแล้วเสร็จเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2527
นับเป็นแผนแม่บทเฉพาะแรกของท่าอากาศยานแห่งนี้
|
|
ต่อมารัฐบาลได้มีการจ้างบริษัทที่ปรึกษา
Louis Berger International เพื่อศึกษาทบทวนอีกครั้งหนึ่งเกี่ยวกับความเหมาะสมของทำเลที่ตั้งท่าอากาศยานแห่งใหม่
ทั้งนี้ ได้พิจารณาเปรียบเทียบถึง 6 ปัจจัย คือ ปัจจัยด้านการเงิน
ความเป็นไปได้ของโครงการ ต้นทุนการพัฒนา การเดินทางสู่ท่าอากาศยาน
ความสอดคล้องกับการพัฒนาภาคมหานคร และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
|
|
การตัดสินใจก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลนายอานันท์
ปันยารชุน โดยได้พิจารณาเห็นว่าท่าอากาศยานดอนเมืองมีพื้นที่จำกัด
หากจะขยายพื้นที่ไปทางด้านฝั่งตะวันออกของถนนวิภาวดี-รังสิต ก็มีข้อจำกัดด้านการจราจรและการเวนคืนที่ดิน
ซึ่งต้องจ่ายค่าเวนคืนในวงเงินที่สูง เนื่องจากปัจจุบันดอนเมืองกลายเป็นท่าอากาศยานที่ตั้งอยู่ภายในตัวเมืองไปแล้ว
ดังนั้น มีมติเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2534 อนุมัติให้ก่อสร้างท่าอากาศยานหนองงูเห่า
กำหนดแล้วเสร็จปี 2543
|
|
คณะรัฐมนตรีในสมัยนายชวน หลีกภัย
เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2538 อนุมัติให้ก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
โดยมอบให้การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบ ต่อมามีการก่อตั้งบริษัท
ท่าอากาศยานกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด เพื่อรับผิดชอบโครงการนี้ โดยเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกระทรวงการคลังและการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
|
|
คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณเมื่อปี
2541 เป็นเงิน 121,392 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างได้ล่าช้ากว่าแผนที่วางไว้มาก ดังนั้น จำเป็นต้องมีการลงทุนก่อสร้างเพื่อขยายท่าอากาศยานดอนเมืองหลายครั้ง
ซึ่งครั้งหลังสุดได้ขยายท่าอากาศยานดอนเมืองจนสามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง
36.5 ล้านคน/ปี นับว่าใหญ่กว่าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิซึ่งในระยะแรกออกแบบไว้รองรับผู้โดยสารเพียง
30 ล้านคน/ปี
|
|
ต่อมามีการทักท้วงว่าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิออกแบบไว้มีขนาดเล็กเกินไป
เนื่องจากใกล้เคียงกับจำนวนผู้โดยสารที่จะใช้บริการเมื่อเปิดดำเนินการ
ควรออกแบบเผื่อเอาไว้เพื่อรองรับการเติบโตของจำนวนผู้โดยสารในอนาคต
ดังนั้น จึงได้ปรับเปลี่ยนการออกแบบเพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นเป็น
45 ล้านคน
|
|
โครงการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะประกอบด้วยอาคารผู้โดยสารและอาคารเทียบเครื่องบินมูลค่า
36,667 ล้านบาท โดยมีเนื้อที่ภายในอาคาร 563,000 ตร.ม. หรือมีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางเท่ากับพื้นที่สนามฟุตบอลจำนวน
94 สนามรวมกัน นับว่ากว้างขวางกว่ากรณีของท่าอากาศยานดอนเมืองซึ่งปัจจุบันมี
3 อาคาร มีพื้นที่รวมกัน 316,000 ตร.ม.
|
|
อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้รับการออกแบบให้มีความสวยงาม
ทันสมัย พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ครบครัน ภายในมีการตกแต่งให้สะท้อนถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทย
โครงสร้างหลักเป็นเหล็กและกระจก พร้อมกับมีการเตรียมพื้นที่สำหรับสร้างสถานีรถไฟใต้อาคาร
โดยมีการแยกเป็นชั้นของกระบวนการเข้า-ออกผู้โดยสารและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
เช่น การตรวจบัตรโดยสาร การตรวจหนังสือเดินทาง ระบบรักษาความปลอดภัย
ด่านศุลกากร บริเวณที่พักผู้โดยสาร ร้านค้า ฯลฯ
|
|
โครงการยังประกอบด้วยรันเวย์ 2
เส้น ความยาว 3,700 และ 4,000 เมตร กว้าง 60 เมตร อยู่ห่างกัน 2.2
กม. นับว่ารันเวย์ตั้งอยู่ห่างเพียงพอสำหรับให้เครื่องบินขึ้น-ลงพร้อมกันทั้ง
2 รันเวย์ได้อย่างอิสระ ทำให้สามารถรองรับได้มากถึง 76 เที่ยวบิน/ชั่วโมง
แตกต่างจากท่าอากาศยานดอนเมืองซึ่งแม้มี 2 รันเวย์เท่ากัน แต่มีระยะห่างกันแค่
400 เมตร เครื่องบินไม่สามารถขึ้น-ลงพร้อมกันได้อย่างอิสระ จึงรับได้ไม่เกิน
50 เที่ยวบิน/ชั่วโมง
|
|
เดิมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกำหนดแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการในเดือนธันวาคม
2547 แต่การก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนด จึงเลื่อนมาเป็นวันที่ 29 กันยายน
2548 สำหรับในอนาคต รัฐบาลมีแผนก่อสร้างเพิ่มเติมอีกหลายโครงการ
เป็นต้นว่า การก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงระหว่างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเข้ามายังย่านมักกะสันโดยใช้เวลาเดินทางเพียง
15 นาที
|
|
รัฐบาลยังมีโครงการลงทุนเพิ่มเติมอีก
15,000 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างรันเวย์หมายเลข 3 และ 4 เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีอยู่แล้ว
2 รันเวย์ เพื่อให้รองรับการขยายตัวของจำนวนผู้โดยสารในอนาคต จะทำให้ท่าอากาศยานสามารถรองรับได้เพิ่มขึ้นเป็น
112 เที่ยวบิน/ชั่วโมง
|
|
เมื่อท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเปิดดำเนินการในเดือนกันยายน
2548 จะกลายเป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยสามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 45 ล้านคน/ปี เฉือนเอาชนะท่าอากาศยานชางกีซึ่งปัจจุบันสามารถรองรับผู้โดยสารได้
44 ล้านคน/ปี
|
|
อย่างไรก็ตาม ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะเป็นอันดับ
1 ในช่วงสั้นๆ เท่านั้น โดยท่าอากาศยานชางกีจะแซงกลับคืนมาเป็นอันดับ
1 สำเร็จในปี 2551 เมื่อการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหมายเลข 3 ของท่าอากาศยานชางกีแล้วเสร็จ
ซึ่งจะเพิ่มความสามารถรองรับผู้โดยสารเป็น 64 ล้านคน/ปี
|
|
จาก หนังสือพิมพ์
ผู้จัดการรายวัน วันที่ 5 เม.ย. 2547
|