เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2562 ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์
เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
พร้อมด้วยนางชุตินาฏ วงศ์สุบรรณ
รองเลขาธิการ เปิดเผยถึงรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่งปี 2562
ซึ่งมีความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญได้แก่ การจ้างงาน
รายได้และผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้น
ค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มขึ้น
การเกิดอุบัติเหตุทางบกลดลง แต่มีประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่
หนี้สินครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังเพิ่มขึ้น
ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินลดลงโดยพิจารณาจากคดีอาญาที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอสถานการณ์ทางสังคมที่น่าสนใจ ได้แก่
เยาวชนมีความเสี่ยงต่อการเป็นภาวะซึมเศร้าและฆ่าตัวตายมากขึ้น
และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา รวมทั้งการเสนอบทความเรื่อง
"อีสปอร์ต : สถานการณ์ ผลกระทบ และแนวทางการดูแล”
โดยสรุปสาระดังนี้
การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น
อัตราการว่างงานลดลง รายได้และผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้น
ไตรมาสหนึ่งปี 2562 การจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9
โดยเป็นการเพิ่มขึ้นนอกภาคเกษตรร้อยละ 3.2 ในสาขาการก่อสร้างร้อยละ
10.5 ตามการขยายตัวของพื้นที่ก่อสร้างและการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ
สาขาอุตสาหกรรมจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0
ชะลอตัวลงตามการผลิตที่เชื่อมโยงกับการส่งออก
ขณะที่สาขาโรงแรมและภัตตาคารมีการจ้างงานลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ
0.2 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ชะลอลง
และผู้มีงานทำภาคเกษตรลดลงร้อยละ 4.2 อัตราการว่างงานเท่ากับร้อยละ
0.9 โดยเป็นการลดลงทั้งผู้ที่เคยทำงานและไม่เคยทำงานมาก่อนร้อยละ 32.2
และ 18.7 ตามลำดับ ค่าจ้างแรงงานที่แท้จริงภาคเอกชนเพิ่มขึ้นร้อยละ
2.5 ขณะที่ผลิตภาพแรงงานโดยรวมยังคงเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 1.8
ตลาดแรงงานตึงตัวมากขึ้น
โดยจำนวนสัดส่วนผู้สมัครงานใกล้เคียงกับจำนวนตำแหน่งงานว่างเป็น 0.98
เท่า ลดลงจาก 1.35 เท่าในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
เมื่อพิจารณาตามระดับการศึกษา
พบว่ามีความต้องการแรงงานในระดับประถมศึกษา
และสายอาชีพสูงกว่าจำนวนผู้สมัครงานถึง 2 เท่า
สะท้อนความขาดแคลนแรงงานทั้งจำนวนแรงงานและทักษะที่ไม่ตรงกับความต้องการ
ประเด็นที่ต้องติดตามด้านแรงงาน
(1)
สถานการณ์ภัยแล้งที่จะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางการเกษตรและรายได้เกษตรกร
จากรายงานสถานภาพน้ำในเขื่อนของกรมชลประทาน
พบว่าปริมาณน้ำในเขื่อนทั่วประเทศอยู่ที่ร้อยละ 53
ของปริมาณความจุที่ระดับน้ำทะเลปานกลาง
โดยมีปริมาณน้ำที่ใช้ได้จริงอยู่ที่ร้อยละ 20 (ณ วันที่ 31 พฤษภาคม
2562) ซึ่งอยู่ในเกณฑ์น้ำน้อยขั้นวิกฤติ
โดยเฉพาะจากเขื่อนในบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เกษตรกรควรเตรียมรับมือกับวิกฤติภัยแล้งโดยอาจเปลี่ยนจากการปลูกพืชต้องการน้ำมากมาเป็นพืชหมุนเวียนที่ใช้น้ำน้อยแทน
(2) ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน
ซึ่งอาจกระทบไทยผ่านการส่งออกและการท่องเที่ยว โดยในด้านการส่งออก
สินค้าที่คาดว่าจะได้ผลกระทบส่วนใหญ่เป็นสินค้าด้านอิเล็กทรอนิกส์
เช่น อินเทอร์เน็ตโมเด็ม แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ แผงวงจรพิมพ์
อุปกรณ์ส่งข้อมูลต่างๆ ชิ้นส่วนยานยนต์ และวัสดุก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม
อาจไม่ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานภาคการผลิตมากนัก
เนื่องจากสาขาอุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เครื่องจักรเข้มข้น
(Capital intensive)
แต่ต้องเฝ้าระวังการจ้างงานในสาขาบริการท่องเที่ยว
เนื่องจากลักษณะของการจ้างงานส่วนหนึ่งเป็นการจ้างงานชั่วคราว
ตามปริมาณการเข้าพักของนักท่องเที่ยว
โดยนักท่องเที่ยวจีนและสหรัฐอเมริการวมคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 30
ของนักท่องเที่ยวรวม
(3)
การปรับตัวของตลาดแรงงานภายใต้แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
ปัจจุบันมีการนำนวัตกรรมมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตมากขึ้น
รวมถึงการบริหารจัดการที่จำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นและต้องใช้ทักษะที่หลากหลาย
ดังนั้น
การพัฒนากำลังแรงงานให้มีทักษะเป็นที่ต้องการของตลาดจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการทั้ง
1) การเพิ่มทักษะแรงงาน (up-skill) ให้มีทักษะใหม่ๆ เช่น
การพัฒนาทักษะแรงงานให้มีความยืดหยุ่นเพื่อสามารถรับมือกับงานที่เร่งด่วนหรือมีภาวะกดดันได้
(flexible workforce for critical tasks)
การพัฒนาทักษะด้านการใช้เทคโนโลยีรูปแบบใหม่ เป็นต้น และ 2)
การปรับเปลี่ยนทักษะแรงงาน (re-skill) เช่น
การเสริมสร้างทักษะด้านอื่นๆ ที่แตกต่างไปจากเดิม
ภายใต้แนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong learning)
โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยทำงานให้สามารถพัฒนาตนเองเพื่อรองรับในกรณีที่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนอาชีพในอนาคต
หนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ไตรมาสสี่ปี 2561 หนี้สินครัวเรือนเท่ากับ 12.8 ล้านล้านบาท
เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 และคิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP เท่ากับร้อยละ 78.6
เพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน และเมื่อเทียบกับต่างประเทศ พบว่า
ประเทศไทยมีสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP อยู่ในอันดับที่ 10 จาก 89
ประเทศทั่วโลก และเป็นอันดับที่ 3 จาก 29 ประเทศในเอเชีย
สำหรับไตรมาสหนึ่งปี 2562
หนี้สินครัวเรือนยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
โดยพิจารณาจากยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ
10.1 สูงสุดในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่ไตรมาสสองปี 2557 เป็นต้นมา
ซึ่งเป็นผลจาก (1)
การเร่งก่อหนี้ก่อนการบังคับใช้มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่
(LTV) เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา (2)
ความต้องการรถยนต์ที่เพิ่มสูงขึ้นจากคุณสมบัติของรถรุ่นใหม่
และมาตรการส่งเสริมการขายรถยนต์จากงานมหกรรมยานยนต์ (Motor Show 2019)
และ (3) การส่งเสริมการขาย การโฆษณาประชาสัมพันธ์
และเงื่อนไขการผ่อนชำระที่จูงใจ
ขณะที่คุณภาพสินเชื่อโดยรวมยังคงทรงตัว
แต่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยในไตรมาสหนึ่ง ปี 2562
หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ขยายตัวร้อยละ 9.0
เทียบกับร้อยละ 9.1 ในไตรมาสก่อน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.75
ต่อสินเชื่อรวม และสัดส่วนร้อยละ 27.8 ต่อ NPLs รวม ซึ่งสูงสุดในรอบ
13 ไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาสหนึ่งปี 2559 เป็นต้นมา
และส่งผลให้มีสัดส่วนสูงสุดเมื่อเทียบกับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในประเภทธุรกิจอื่นๆ
ด้านสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับยังคงมีมูลค่ารวมอยู่ในระดับสูง
ในขณะที่ยอดสินเชื่อผิดนัดชำระหนี้เกิน 3
เดือนขึ้นไปของสินเชื่อบัตรเครดิตปรับตัวลดลงร้อยละ 3.6
เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 0.3 ในไตรมาสที่ผ่านมา
หนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่กลางปี 2561
และภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปีที่แล้ว
อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยและความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน
ทำให้มีประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ (1)
การก่อหนี้เพื่อที่อยู่อาศัยของครัวเรือนภายหลังการบังคับใช้มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อใหม่
โดยคาดว่าจะมีแนวโน้มชะลอตัวลง
และทำให้หนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้นในอัตราชะลอตัว
เนื่องจากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 49.9
ของสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคล และ (2)
การขยายตัวของสินเชื่อเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลอื่นๆ
รวมถึงบัตรเครดิตอาจมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้
ภาครัฐยังควรให้ความสำคัญกับการกำหนดมาตรการต่างๆ
เพื่อกำกับดูแลและควบคุมการปล่อยสินเชื่อให้รัดกุมและมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น
อาทิ (1)
การออกแบบมาตรการกำกับดูแลการปล่อยสินเชื่อเพื่อลดความเสี่ยงจากการปล่อยกู้ให้กับกลุ่มที่มีภาระหนี้สูง
โดยเฉพาะมาตรการเกี่ยวกับสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) (2)
การออกมาตรการกำกับดูแลการปล่อยสินเชื่อรถยนต์
เนื่องจากคุณภาพของสินเชื่อรถยนต์ที่มีแนวโน้มลดลง (3)
การติดตามมาตรการกำกับดูแลธุรกิจสินเชื่อที่มีรถยนต์เป็นหลักประกันให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างเป็นธรรมและมีอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม
(4) การเร่งประชาสัมพันธ์โครงการคลินิกแก้หนี้ ระยะที่ 2 และ (5)
การกำกับดูแลการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกหนี้รายเดิมและรายใหม่ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการก่อหนี้ครัวเรือนมากยิ่งขึ้น
การเจ็บป่วยยังต้องเฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่และโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ไตรมาสหนึ่งปี 2562
จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี
2561 ร้อยละ 72.7 โดยผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 126.7
พบผู้ป่วยสูงสุดในภาคใต้ เนื่องจากพื้นที่ในบริเวณภาคใต้ยังมีฝนตกอยู่
และผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นร้อยละ 223.9
เนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง การเดินทาง
และการรวมตัวของกลุ่มคนหนาแน่น เช่น เรือนจำ โรงเรียน ค่ายทหาร
ทำให้โรคเกิดการระบาดได้ง่าย และการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์ไวรัส
อีกทั้งยังต้องเฝ้าระวังการระบาดของโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ
และการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโรคลมแดดในช่วงอากาศร้อนจัดเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปี
รวมทั้งต้องเฝ้าระวังสถานการณ์เด็กจมน้ำช่วงปิดเทอมซึ่งเป็นช่วงที่มีเด็กจมน้ำเสียชีวิตสูงสุดเฉลี่ยปีละ
312 คน สำหรับในปี 2562
จากข้อมูลของกรมควบคุมโรคในช่วงปิดภาคเรียนมีเด็กจมน้ำเสียชีวิต 64 คน
ทั้งหมดเป็นเด็กช่วงอายุ 5-14 ปี
ค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มขึ้น
ไตรมาสหนึ่งปี 2562
การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ขยายตัวร้อยละ 2.3
ชะลอลงเมื่อเทียบกับการขยายตัวร้อยละ 4.5 ในไตรมาสก่อน
โดยปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขยายตัวร้อยละ 2.9
ขณะที่การบริโภคบุหรี่ขยายตัวร้อยละ 1.5 ทั้งนี้
พฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่กลับมาเพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน
ภายหลังจากการหดตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4 ปี 2560
จนถึงช่วงไตรมาส 3 ปี 2561
โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานการขยายตัวในระดับต่ำของไตรมาส 4 ปี 2560
และไตรมาส 1 ปี 2561 ตามลำดับ นอกจากนี้
ยังคงต้องเฝ้าระวังปัจจัยที่มีผลกระตุ้นพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
อาทิ สื่อโฆษณา ปัญหาความเครียด และพฤติกรรมการเลียนแบบ
แม้ว่าอัตราการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะมีแนวโน้มที่ลดลง
แต่การเจ็บป่วยและเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรคที่เกิดจากบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
โดยแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ประมาณ 55,000 คน
และจากการดื่มแอลกฮอล์ประมาณ 22,000 คน หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 11
และ 4.5 ของการเสียชีวิตทั้งหมด ตามลำดับ
ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินมาตรการในการป้องกันและควบคุมอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นเพื่อช่วยลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น
คดีอาญารวมเพิ่มจากคดียาเสพติดที่เพิ่มขึ้น
ไตรมาสหนึ่งปี 2562 คดีอาญารวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1
จากไตรมาสเดียวกันของปี 2561
เป็นการรับแจ้งคดียาเสพติดเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4 ขณะที่คดีชีวิต ร่างกาย
และเพศ คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ รับแจ้งลดลงร้อยละ 1.6 และร้อยละ 7.1
ตามลำดับ
รัฐได้ให้ความสำคัญกับมาตรการด้านการปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวด
และได้นำมาตรการทางเลือกแนวทางลดทอนความเป็นอาชญากรรมมาใช้กับผู้เสพและผู้ติดยาเสพติดให้กลับเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา
ส่วนผู้กระทำผิดที่เป็นนักค้า/เครือข่ายรายใหญ่นำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญา
นอกจากนั้น
ได้ดำเนินการให้มีการเฝ้าระวังผู้ป่วยยาเสพติดที่มีอาการทางจิตและมีแนวโน้มก่อความรุนแรง
รวมทั้งการประเมินเพื่อกลับสู่สังคมอย่างปลอดภัยเพื่อลดความรุนแรงในสังคม
การเกิดอุบัติเหตุและจำนวนผู้เสียชีวิตลดลงทั้งในช่วงปกติและช่วงเทศกาล
ไตรมาสหนึ่งปี 2562
สถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2561
ร้อยละ 5 มีผู้เสียชีวิตและมูลค่าความเสียหายลดลงร้อยละ 4.8 และ 4.3
ตามลำดับ
สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุสูงสุดเป็นการขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด
รถที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดยังคงเป็นรถจักรยานยนต์มีสัดส่วนร้อยละ 19.8
ของประเภทรถที่เกิดอุบัติเหตุทั้งหมด ขณะที่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2562
มีการวิเคราะห์และถอดบทเรียนหาสาเหตุเพื่อกำหนดมาตรการและแนวทางที่เหมาะสม
ทำให้การเกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ลดลงจากปีที่แล้ว ร้อยละ
10.4 มีผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต ลดลงร้อยละ 11.7 และ 7.7 ตามลำดับ
การดื่มแล้วขับเป็นสาเหตุอันดับแรกของการเกิดอุบัติเหตุ
จึงควรมีการเพิ่มบทลงโทษให้ครอบคลุมกับความผิดในทุกกรณี
รวมทั้งควรดำเนินการจัดทำเครื่องหมายจราจรให้ชัดเจนมีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศเพื่อสะดวกในการบังคับใช้กฎหมายและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน
เยาวชนมีความเสี่ยงต่อการเป็นภาวะซึมเศร้าและฆ่าตัวตายมากขึ้น
ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือปัองกันแก้ไขอย่างจริงจัง
โรคซึมเศร้านับเป็นปัญหาสำคัญทางสุขภาพที่จำนวนผู้ป่วยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
และหากไม่ได้รับการรักษาอาจรุนแรงจนนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้
กลุ่มเยาวชนนับเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องให้ความสำคัญและเร่งแก้ไขแม้จะมีสัดส่วนของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเพียงร้อยละ
11.5 น้อยกว่ากลุ่มวัยทำงานและวัยผู้สูงอายุ
แต่เนื่องจากเยาวชนเป็นทรัพยากรที่มีค่าในการพัฒนาประเทศในอนาคต
และพบว่ามีแนวโน้มฆ่าตัวตายมากขึ้น
ภาวะซึมเศร้าในกลุ่มเยาวชนเกิดได้จากหลายปัจจัย อาทิ
ภาวะของการเสียศูนย์จากการถูกประเมิน ภาวะการเงิน ความรัก
ความรู้สึกผิดกับคนที่มีความสำคัญ ความสูญเสียอย่างฉับพลัน
ความกดดันจากสภาพแวดล้อมและค่านิยมทางสังคม
รวมทั้งความรักของพ่อแม่ที่คอยประคบประหงมตามใจ
ทำให้เด็กขาดทักษะการสร้างความเข้มแข็งให้กับตนเองไม่สามารถจัดการปัญหาเมื่อเกิดความผิดหวังในชีวิต
ทำให้ทุกปัญหาสามารถกลายเป็นสาเหตุให้เกิดความกังวล ความเครียด
จนพัฒนาไปสู่ภาวะซึมเศร้าและคิดทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายได้ โดยในปี
2561 พบว่าเยาวชนอายุ 20-24 ปี มีอัตราการฆ่าตัวตายเท่ากับ 5.33
ต่อประชากรแสนคนเพิ่มขึ้นจากอัตรา 4.94 ต่อประชากรแสนคนในปี 2560
ขณะที่กลุ่มเยาวชนอายุ 15-19 ปี มีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 2.59
ต่อประชากรแสนคน และกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี
มีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 0.5 ต่อประชากรแสนคน ทั้งนี้
การป้องกันสามารถทำได้โดยความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งครอบครัวและคนใกล้ชิดต้องเอาใจใส่ต่อบุตรหลาน
สถานศึกษาต้องเฝ้าระวังและสังเกตพฤติกรรม พร้อมทั้งให้คำปรึกษาแนะนำ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมทักษะชีวิตในกลุ่มเยาวชนมากขึ้น
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
ความท้าทายในการสร้างโอกาสการเข้าถึงการศึกษาอย่างทั่วถึง
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)
ถูกจัดตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
พ.ศ. 2561 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2561
มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือผู้ด้อยโอกาสให้ได้รับการศึกษา
และเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู
ซึ่งกองทุนดังกล่าวเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มโอกาสทางการศึกษา
โดยมีหลักการของการดำเนินงานที่เน้นใน 4 เรื่อง (1)
ความคุ้มค่าที่เกิดขึ้น (2) การจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินการ (3)
การดำเนินการอย่างโปร่งใส มีการกำกับดูแลที่รอบคอบ และ (4)
การสร้างความร่วมมือกับภาคีทุกภาคส่วนอย่างบูรณาการ
ทำให้กองทุนมีลักษณะการดำเนินงานที่โดดเด่น คือ
การวิจัยและพัฒนาตัวแบบปฏิรูปหรือนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพสูง
ร่วมกับพันธมิตรหน่วยจัดการศึกษา และสถาบันวิชาการ
แล้วส่งผ่านตัวแบบปฏิรูปไปยังหน่วยงานหลักสำหรับขยายผลในระยะยาว
รวมทั้งการเสนอแนะมาตรการหรือจัดการศึกษาอย่างมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย
ทั้งนี้ ในปีการศึกษา 2561 กสศ.
ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
จัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษแบบมีเงื่อนไขให้กับนักเรียน
510,040 คน ใน 26,557 โรงเรียนสังกัด สพฐ.
และมีการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะอาชีพและทักษะชีวิตจากเงินอุดหนุนของ
กสศ. จนกลายเป็นตัวอย่างต้นแบบเพื่อใช้ขยายผลต่อไป
บทความเรื่อง"อีสปอร์ต : สถานการณ์ ผลกระทบ
และแนวทางการดูแล”
สถานการณ์อีสปอร์ตในประเทศไทย
อีสปอร์ตได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
จะเห็นได้จากตลาดเกมและอีสปอร์ตในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยในปี 2560 มีผู้เล่นเกมประมาณ 18.3 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 4
ของประชากร ขณะที่มูลค่าการใช้จ่ายในตลาดเกมมีสูงถึงประมาณ 22,000
ล้านบาท ในปี 2561 ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 19 ของโลก
สำหรับผู้ชมการแข่งขันอีสปอร์ต พบว่า เมื่อปี 2561
มีผู้ชมอีสปอร์ตประมาณ 2.6 ล้านคน
และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณร้อยละ 30 ในช่วงปี 2560-2564 เมื่อปี
2560
การกีฬาแห่งประเทศไทยได้อนุมัติรับรองให้อีสปอร์ตเป็นประเภทกีฬาที่สามารถจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมกีฬาได้ตามพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย
พ.ศ. 2558
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับบริษัทศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจจำกัด
ได้ทำการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับอีสปอร์ตในประเทศไทยในกลุ่มเด็กและเยาวชนวัย
13-24 ปี จำนวน 2,155 ตัวอย่าง ผู้ปกครองของผู้ที่มีบุตรหลานอายุ
13-24 ปี อยู่ในความดูแล จำนวน 1,051 ตัวอย่าง ครอบคลุมพื้นที่ 7
จังหวัด คือ กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ เชียงใหม่ ชลบุรี ขอนแก่น
และสงขลา และกลุ่มนักกีฬาอีสปอร์ตจำนวน 404 ตัวอย่าง
โดยมีข้อค้นพบสำคัญ ดังนี้
(1) คุณลักษณะของนักกีฬาอีสปอร์ต
นักกีฬาอีสปอร์ตส่วนใหญ่เป็นเพศชายร้อยละ 97.5 มีอายุระหว่าง 19-24 ปี
และกำลังศึกษาร้อยละ 78.5 นักกีฬาใช้เวลาเล่นเกมเฉลี่ย 3 ชั่วโมง 20
นาที ในวันธรรมดา และ 4 ชั่วโมง 15 นาที ในวันหยุด
นักกีฬาส่วนใหญ่เป็นตัวแทนชมรมสถานศึกษาร้อยละ 58.9 ทั้งนี้
หากจำแนกเป็นนักกีฬาสมัครเล่นหรือกึ่งอาชีพ
(คือกลุ่มอิสระหรือตัวแทนสถาบันแต่ไม่มีสังกัด)
กับกลุ่มนักกีฬาอาชีพที่มีสังกัด พบว่า นักกีฬาสมัครเล่นร้อยละ 98.4
เป็นนักกีฬาหน้าใหม่ มีระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี
ขณะที่นักกีฬาอาชีพมีระยะเป็นนักกีฬาเฉลี่ย 2 ปี 5 เดือน
สำหรับเหตุผลของการเป็นนักกีฬาของทั้ง 2 กลุ่ม เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
คือ ชอบเล่นเกม และมีรายได้/รางวัล
(2) มุมมองของเด็กและเยาวชน นักกีฬา และผู้ปกครองต่ออีสปอร์ต
ในเรื่องการเป็นช่องทางอาชีพ
เด็กและเยาวชนกับผู้ปกครองมากกว่าครึ่งเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า
เป็นเพียงกิจกรรมเพื่อความเพลิดเพลิน ขณะที่กลุ่มนักกีฬาร้อยละ 56.4
เห็นเป็นช่องทางหารายได้เสริม ในเรื่องการจัดการแข่งขันอีสปอร์ต
เด็กและเยาวชนที่รับรู้ข่าวสารการแข่งขันเห็นว่า
สามารถกระตุ้นความรู้สึกในการอยากเล่นเกม อยากหารายได้จากการแข่งขัน
และสนใจเป็นอาชีพได้ในระดับน้อย
และกระตุ้นในระดับปานกลางในกลุ่มนักกีฬา ทั้งนี้
จุดเริ่มต้นของการเข้าสู่เส้นทางนักกีฬาอีสปอร์ต คือ
ความชื่นชอบในการเล่นเกม เป็นช่องทางสร้างรายได้และชื่อเสียง
แล้วจึงผันตัวเองเข้าไปเป็นนักกีฬา
โดยบางคนทำเป็นอาชีพแบบคู่ขนานกับงานประจำด้วย
ขณะที่ช่องทางเข้าสู่การเป็นนักกีฬาจะมีหลายรูปแบบ อาทิ
ประกาศคัดตัวเข้าสังกัด ระบบแมวมอง และเลือกนักกีฬาจากยอดการติดตาม
(follow)
ผลกระทบจากการมีอีสปอร์ต
สามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ ผลกระทบเชิงบวก ได้แก่ (1)
การเกิดอาชีพใหม่รวมไปถึงอาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น นักแคสเกม
หรือรีวิวเกมในขณะที่กำลังเล่นไปด้วย นักพากย์เกม กรรมการ
ผู้จัดการแข่งขัน (2)
การสร้างโอกาสและแรงจูงใจให้เด็กและเยาวชนที่ชื่นชอบการเล่นเกมได้มีการเล่นเกมอย่างสร้างสรรค์
มีโอกาสได้รับความสำเร็จ ความภาคภูมิใจในตนเอง และการเป็นที่ยอมรับ
(3) การเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอีสปอร์ต
ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม และ ผลกระทบเชิงลบ เช่น
อีสปอร์ตอาจส่งผลในทางกระตุ้นเด็กอยากเล่นเกมมากขึ้น
รวมไปถึงผลกระทบต่อสุขภาพ อารมณ์ และพฤติกรรม เช่น
รู้สึกปวดหลัง/ปวดเมื่อยร่างกาย มีปัญหาเกี่ยวกับสายตา
และเล่นเพลินจนนอนดึกหรือนอนน้อย การขาดเรียนหรือไปสาย
รู้สึกไม่ค่อยอยากทำอะไรนอกจากเล่นเกม
และมีพฤติกรรมเล่นพนันทายผลการแข่งขันอีสปอร์ต
การเป็นนักกีฬาอีสปอร์ตอาชีพมีระยะเวลาสั้น ไม่มั่นคง
รวมทั้งการเติบโตของตลาดเกมอาจส่งผลต่อการเสียดุลการค้าเพราะเงินจะไหลไปประเทศต้นทางที่เป็นผู้พัฒนาเกมหรือเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
มาตรการดูแลอีสปอร์ต ในกรณีต่างประเทศ
มีการกำหนดมาตรการที่น่าสนใจ เช่น การกำหนดประเภทของเกม (Rating Game)
การควบคุมการโฆษณาและประชาสัมพันธ์
การกำกับดูแลนักกีฬาอีสปอร์ตและการจัดการแข่งขัน สำหรับประเทศไทย
ยังไม่มีกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับอีสปอร์ต
มีเพียงกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตและการประกอบกิจการร้านวีดิทัศน์
ภายใต้พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551
ที่ควบคุมการประกอบกิจการร้านเกม ร้านวีดิทัศน์
โดยกำหนดระยะเวลาในการเวลาเล่นเกม และการใช้บริการร้านเกมของเด็ก
นอกจากนี้ ด้านเนื้อหาสาระของเกม
ก็ยังไม่มีการจัดเรทติ้งเกมอย่างที่ดำเนินการกับภาพยนตร์
ข้อเสนอแนะแนวทางการดูแลอีสปอร์ต
มีแนวทางดังนี้ (1) การป้องกันและลดผลกระทบจากการเล่นเกม
โดยการกำหนดเรทติ้งเกม การควบคุมอายุผู้เล่น
การส่งเสริมให้เกิดการผลิตและแข่งขันเกมที่สร้างสรรค์ ที่พัฒนาความคิด
วิเคราะห์ ทำงานเป็นทีม ปราศจากความรุนแรง
ตลอดจนให้สื่อสารกับสังคมให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องระหว่างการเล่นเกมเพื่อความสนุกกับเล่นเกมในรูปแบบของนักกีฬา
รวมทั้งควรดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาเด็กติดเกมควบคู่ไปด้วย โดยโรงเรียน
ครู และผู้ปกครอง
ควรมีการประสานงานร่วมกันในการช่วยสอดส่องดูแลพฤติกรรมของเด็กในความรับผิดชอบ
และเร่งแก้ไขหากพบเด็กมีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ส่งผลกระทบต่อการเรียน
สุขภาพ การดำรงชีวิตประจำวัน (2) การดูแลการจัดการแข่งขันอีสปอร์ต
โดยการกำหนดระเบียบปฏิบัติและหน่วยงานกำกับดูแลการจัดการแข่งขันที่ชัดเจน
มีระบบอนุญาตและแจงรายละเอียดเกี่ยวกับเกมที่ใช้แข่งขัน
ผู้มีสิทธิสมัครเข้าร่วม ตลอดจนมีระบบการขึ้นทะเบียนผู้เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ต้องให้ความสำคัญกับการคุ้มครองดูแลนักกีฬา
โดยมีการตกลงหรือออกระเบียบปฏิบัติเพื่อกำหนดแนวทางความรับผิดชอบของต้นสังกัดในการดูแลนักกีฬาให้อยู่ในมาตรฐานที่เหมาะสม
และ (3) การเตรียมพร้อมระบบนิเวศวงการอีสปอร์ต
โดยสนับสนุนการสร้างบุคลากรที่เกี่ยวข้อง
ศึกษาหาแนวทางส่งเสริมให้พัฒนาไปสู่การเป็นผู้ผลิตเกมและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งมาตรการรองรับการขยายตัวของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง การจัดเก็บภาษี
ตลอดจนการเฝ้าระวังปัญหาอาชญากรรมและผลกระทบต่างๆ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
6 มิถุนายน 2562
|