วันนี้ (29 พฤษภาคม 2562) ณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์
เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พร้อมด้วย ดร.ปัทมา เธียรวิศิษฎ์สกุล รองเลขาธิการฯ
และนางสาววรรณวีรา รัชฎาวงศ์
กรรมการบริหาร สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย หรือ TMA
ร่วมแถลงข่าวเผยผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศจาก
World Competitiveness Center ของ International Institute for
Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ ประจำปี 2562
โดยเขตเศรษฐกิจที่มีอันดับสูงสุด 5 อันดับแรกคือ
สิงคโปร์เลื่อนขึ้นมาอยู่อันดับที่ 1
แทนที่สหรัฐอเมริกาซึ่งลดอันดับลงไปเป็นที่ 3 รองลงมาคือ ฮ่องกง
สวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ตามลำดับ ทั้งนี้ IMD
ทำการสำรวจและจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทั้งหมด 63
เขตเศรษฐกิจทั่วโลก
สำหรับเขตเศรษฐกิจในกลุ่มอาเซียนที่ได้รับการจัดอันดับ 5
เขตเศรษฐกิจ มีอันดับดีขึ้นเกือบทั้งหมด
ประกอบด้วยสิงคโปร์ซึ่งขึ้นมาอยู่อันดับที่ 1
มาเลเซียมีอันดับคงที่ที่ 22
เช่นเดียวกับปีที่แล้วส่วนประเทศไทยสูงขึ้น 5 อันดับ จากอันดับที่ 30
เป็น 25 อินโดนีเซียมีอันดับดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากอันดับที่ 43
เป็น 32และฟิลิปปินส์จากอันดับที่ 50 เป็น 46
เมื่อพิจารณาผลการจัดอันดับของไทย จากผลการจัดอันดับที่แบ่งเป็น
4 ด้านได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจ (Economic Performance)
ประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency)
ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) และโครงสร้างพื้นฐาน
(Infrastructure) มีผลการจัดอันดับดีขึ้น 3 ด้าน
ประกอบด้วยด้านสภาวะเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพของภาครัฐ
และโครงสร้างพื้นฐาน ในขณะที่ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจลดลง 2
อันดับ
เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า
เป็นที่น่ายินดีที่ในปีนี้ผลการจัดอันดับของประเทศไทยดีขึ้นถึง 5
อันดับ โดยที่ด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจและประสิทธิภาพของภาครัฐดีขึ้นถึง
2 อันดับ ในด้านเศรษฐกิจนั้น ปรากฏว่าด้านการลงทุนต่างประเทศ
(International Investment)
มีอันดับที่ดีขึ้นมากเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการลงทุนจากต่างประเทศ
ในขณะที่การปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานเพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจก็ส่งผลให้อันดับด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
(business legislation)
ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของประสิทธิภาพของภาครัฐดีขึ้นถึง 4 อันดับ
ซึ่งก็นับว่าเป็นผลจากการที่รัฐบาลได้มีแนวทางที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในการปรับกฎระเบียบให้ทันสมัย
คล่องตัว
และส่งเสริมการใช้ดิจิทัลในการให้บริการให้รวดเร็วมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งการแก้ปัญหาปัจจัยพื้นฐานเชิงโครงสร้างในทุกด้าน
และกำลังผลักดันต่อไปให้เกิดผลอย่างต่อเนื่องและในวงที่กว้างขวางมากขึ้น
นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมาและตลอดช่วงปีนี้สภาพัฒน์ฯ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
(กพข.)
ได้พยายามผลักดันและประสานให้เกิดการขับเคลื่อนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน
โดยที่ในด้านข้อมูลสภาพัฒน์ก็ได้ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ
และสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย
ในการผลักดันและสร้างความตระหนักอย่างต่อเนื่องให้หน่วยงานเจ้าภาพข้อมูลมีการจัดระบบข้อมูลที่ใช้ในการจัดอันดับของสถาบัน
IMD ให้มีความถูกต้อง และทันสมัย
ขณะเดียวกันในปีนี้สภาพัฒน์ก็ให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนของสังคมถึงความสำคัญของความสามารถในการแข่งขันที่มีต่อความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
เพื่อที่ทุกภาคส่วนจะได้ช่วยกันดำเนินการในส่วนที่รับผิดชอบหรือเกี่ยวข้อง
โดยสภาพัฒน์ได้ดำเนินการโครงการที่เรียกว่า "การสร้างอนาคตประเทศไทย”
หรือ "Futurising Thailand” โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัท 101%
ซึ่งโครงการนี้ทำหน้าที่ในการสื่อสารสาธารณะในเรื่องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับสาธารณชนในทุกภาคส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องจุดเน้นหลักของนโยบายที่จะยกระดับขีดความสามารถทั้งในเรื่องทุนมนุษย์
กฎระเบียบ
และการพัฒนาในระดับพื้นที่ที่จะพัฒนาขีดความสามารถให้มีความทั่วถึงในระดับพื้นที่
รวมทั้งรัฐบาลก็ได้มีการเร่งรัดให้หน่วยงานดำเนินแผนงาน/โครงการที่จะส่งผลต่อการพัฒนาทั้ง
4
ด้านที่กล่าวมาข้างต้นเพื่อยกอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้เกิดผลเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้นตามลำดับ
ด้านนางสาววรรณวีรา รัชฎาวงศ์ กรรมการบริหาร
สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) กล่าวว่า
เป็นที่น่ายินดีที่ในปีนี้ประเทศไทยมีอันดับดีขึ้นถึง 5
อันดับเป็นอันดับที่ 25 ซึ่งนับเป็นอันดับสูงที่สุดในรอบกว่า 10
ปีที่ผ่านมา
นอกเหนือจากประเด็นด้านเศรษฐกิจที่ทำให้ผลการจัดอันดับดีขึ้น
ยังมีประเด็นโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่เป็นรากฐานของการสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวที่มีอันดับสูงขึ้นถึง
4 อันดับจากปีที่แล้ว
อันเป็นผลมาจากการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องของทั้งภาครัฐและเอกชนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้การลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาของประเทศเพิ่มอย่างก้าวกระโดด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเอกชนที่ปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนวิจัยและพัฒนาคิดเป็นร้อยละ
0.8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ
(GDP)จากสัดส่วนการลงทุนทั้งหมดร้อยละ 1 ของ GDP อย่างไรก็ตาม
สิ่งที่เป็นประเด็นท้าทายของประเทศ คือ
การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นมาช่วยเพิ่มมูลค่าและผลิตภาพ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจขนาดย่อมและภาคการเกษตร
รวมถึงการพัฒนากำลังคนให้เท่าทันเทคโนโลยีและพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงในโลกอนาคต
โดยใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่ได้ลงทุนไปเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงองค์ความรู้และบริการทางสังคมต่างๆอย่างเต็มที่
ทั้งนี้ TMA
ได้มีบทบาทในการทำให้เกิดความตระหนักถึงความสำคัญและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศมาตั้งแต่
2540 นับตั้งแต่ TMA ได้เข้าร่วมเป็น Partner Institute กับสถาบัน IMD
(International Institute for Management Development)
ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ในโครงการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
และได้ร่วมมือกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
จัดโครงการ Thailand Competitiveness Enhancement Program
มาตลอดระยะเวลา 10 ปี เพื่อประสานความร่วมมือของภาคเอกชนกับภาครัฐ
ผลักดันให้เกิดการพัฒนาและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
โดยมี TMA Center for Competitiveness
เป็นหน่วยงานหลักในการประสานและขับเคลื่อนโครงการฯ "เป้าหมายของ TMA
ยังคงมุ่งเน้นการยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันทั้งในระดับบุคคล
ระดับองค์กร และระดับประเทศ ภายใต้แนวคิดหลัก 3 ประการ คือ
การสร้างความร่วมมือ การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม
และการเพิ่มศักยภาพความเป็นผู้นำและบริหารจัดการ และในวันที่ 3 – 4
กรกฎาคม 2562 สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)
จะมีการจัดสัมมนา Thailand Competitiveness Conference 2019
ภายใต้หัวข้อ Rethinking the Future
ที่จะกล่าวถึงสภาพการแข่งขันภายใต้บริบทใหม่ของโลก ความพร้อม
และอนาคตของประเทศไทยในโลกยุคใหม่
รวมถึงการร่วมกันจัดทำโครงการต้นแบบสำหรับอนาคต”
คุณวรรณวีรากล่าวทิ้งท้าย
|