นายพรชัย รุจิประภา
ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานพร้อมคณะกรรมการฯ แถลง
ความก้าวหน้าและสาระสำคัญของแนวทางการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน
หรือโรดแมปการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานในระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2561 –
2565) โดยจากการศึกษาของคณะกรรมการฯ จะดำเนินการปฏิรูปใน
6 ด้าน ครอบคลุม 17 ประเด็นด้านนโยบายพลังงานของประเทศ
ซึ่งเบื้องต้นมั่นใจว่าแนวทางการปฏิรูป ฯ ดังกล่าว
จะสร้างผลประโยชน์ด้านพลังงานที่ประชาชนและประเทศจะได้รับอย่างแท้จริง
และการดำเนินงานจะอยู่บนพื้นฐานที่ประชาชนทุกภาคส่วนยอมรับ
พร้อมด้วยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งนี้
รายละเอียดสำคัญของการปฏิรูปด้านพลังงานทั้ง 6 ด้าน มีดังนี้
1.
สร้างธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการพลังงานของประเทศ ปฏิรูปใน 3
ประเด็น ได้แก่
(1)
ปฏิรูปองค์กรด้านพลังงานเพื่อให้มีองค์กรที่สามารถให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(2)
พัฒนาศูนย์สารสนเทศพลังงานแห่งชาติเพื่อให้มีฐานข้อมูลด้านพลังงานที่ทันสมัย
ถูกต้อง ได้รับความเชื่อถือ และ (3) สร้าง
ธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ
องค์กรพัฒนาเอกชนและผู้ประกอบการอย่างเท่าเทียมกันเพื่อนำไปสู่การลดข้อขัดแย้งในสังคมและนำไปสู่การยอมรับของประชาชนในนโยบายพลังงานและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของประเทศ
2.
พัฒนาด้านไฟฟ้าเพื่อรักษาเสถียรภาพและสร้างความมั่นคงพลังงานประเทศ
ปฏิรูปใน
3 ประเด็น คือ (1)
ปรับแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ที่คํานึงถึงความสมดุลรายภาค
และเพิ่มความมั่นคงของระบบไฟฟ้าสำหรับจุดที่มีความเสี่ยงและมีความสำคัญต่อประเทศ
(2) ส่งเสริมการแข่งขันในกิจการไฟฟ้า
และส่งเสริมกิจการไฟฟ้าเสรีที่ใช้พลังงานทดแทนที่ผลิตและซื้อขายไฟฟ้ากันเองภายในชุมชน
และ (3)
ปรับโครงสร้างการบริหารกิจการไฟฟ้าโดยบูรณาการหน่วยงานกิจการไฟฟ้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการไฟฟ้าและ
การลงทุนของประเทศ
3.
ด้านปิโตรเลียมและปิโตรเคมีมุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติและสร้างฐานเศรษฐกิจใหม่จากปิโตรเคมี
ปฏิรูปใน 2 ประเด็น อาทิ (1)
ด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติ
โดยสร้างโอกาสให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้า LNG ของภูมิภาค
และส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ และ (2)
การพัฒนาปิโตรเคมี ระยะที่ 4
เพื่อสร้างความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจากฐานการผลิตปัจจุบันในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก
รวมถึงการกำหนดพื้นที่ใหม่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรม
ปิโตรเคมีระยะยาวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันประเทศ
4.
สนับสนุนพลังงานทดแทนเพื่อส่งเสริมการแข่งขันและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
ปฏิรูปใน
4 ประเด็น ประกอบด้วย (1)
ปฏิรูประบบบริหารจัดการเชื้อเพลิงไม้โตเร็วสำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวล (2)
ส่งเสริมการนำขยะไปเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้า (3)
ส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี และ (4)
ปฏิรูปโครงสร้างการใช้พลังงานภาคขนส่งเพื่อสร้างกรอบและโครงสร้างการใช้พลังงานภาคขนส่งที่เหมาะสมกับประเทศ
อันนำไปสู่
การกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องทั้งด้านเกษตร
การลงทุนอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพ โรงกลั่น และยานยนต์
5.
อนุรักษ์และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนพลังงานของประเทศ
ปฏิรูปใน
3 ประเด็น คือ (1) ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในกลุ่มอุตสาหกรรม
(2) การใช้ข้อบัญญัติเกณฑ์มาตรฐานอาคารด้านพลังงาน (Building Energy
Code: BEC) และ (3) การใช้มาตรการบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO)
สำหรับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
และการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าในกลุ่มอุตสาหกรรม
และเพื่อลดการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม
และอาคารภาครัฐให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด
6. กำหนดทิศทางการพัฒนา การลงทุน
และการใช้เทคโนโลยีใหม่ในการพัฒนาด้านพลังงานของประเทศ
ปฏิรูปใน 2 ประเด็น เช่น (1) การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และ
(2)
การส่งเสริมเทคโนโลยีระบบการกักเก็บพลังงานเพื่อส่งเสริมให้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาใช้ในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของประเทศ
เพื่อให้การผลิตและการใช้พลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งนี้ นายมนูญ ศิริวรรณ
หนึ่งในกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน กล่าวเสริมว่า
"แนวทางการปฏิรูปฯ ดังกล่าว
หากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง
คณะกรรมการฯ เชื่อว่า
แนวทางการพัฒนาด้านพลังงานของประเทศจะเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
โดยจากโรดแมปทั้ง 6 ด้าน 17
ประเด็นเบื้องต้นคาดว่าจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนที่สำคัญ”
ดังนี้
ระยะสั้น ปี 2561-2562
จะมีศูนย์บริการแบบครบวงจร หรือ One Stop Service
ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและธุรกิจไฟฟ้าพร้อมเกิดศูนย์สารสนเทศพลังงานแห่งชาติ
ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตพื้นที่การตั้งโรงไฟฟ้าจะเกิดจากประชาชนเสนอเองเป็นครั้งแรก
พร้อมทั้งเกิดการปรับแผนการจัดหาพลังงานใหม่ทั้งไฟฟ้า
ก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน
มีการปรับโครงสร้างบริหารกิจการไฟฟ้าและส่งเสริมกิจการไฟฟ้าเสรีที่ใช้พลังงานทดแทน
มีการริเริ่มการสร้างฐานเศรษฐกิจใหม่ของประเทศจากปิโตรเคมี
และรัฐบาลสามารถกำหนดทิศทางลงทุนและพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงานที่ได้รับการยอมรับจากผู้ลงทุน
ระยะกลาง ปี 2563-2565
การบริหารจัดการด้านพลังงานมีธรรมาภิบาลได้รับการยอมรับจากประชาชน
ลดการผูกขาด สร้างการแข่งขันในทุกกิจการพลังงาน
ประชาชนเข้าถึงการใช้พลังงานในราคาที่เป็นธรรม
โดยได้รับคุณภาพและการบริการที่ดีขึ้น
การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นไปตามแผนการจัดหาที่ปรับปรุงใหม่
ทั้งโรงไฟฟ้า สายส่ง และระบบท่อ
มีการลงทุนด้านพลังงานทั้งพลังงานทดแทน อุตสาหกรรมปิโตรเคมี
อุตสาหกรรมใหม่ อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน
อันนำไปสู่มูลค่าการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2-3 แสนล้านบาท
และจะสามารถเพิ่มขีดความสามารถของประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ
ตลอดจนสามารถสร้างงาน สร้างรายได้
ส่งผลต่อการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน
ในส่วนขั้นตอนการดำเนินงาน นายกวิน
ทังสุพานิช กรรมการและเลขานุการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน
กล่าวถึงความก้าวหน้าการดำเนินงานในปัจจุบันว่า "คณะกรรมการฯ
ได้จัดทำร่างแผนการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานแล้วเสร็จ
และอยู่ในขั้นตอนการนำเสนอต่อที่ประชุมร่วมคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในเดือนมกราคม
2561 นี้
ก่อนนำเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างแผนปฏิรูปประเทศภายในเดือนมีนาคม
2561 และรายงานต่อรัฐสภาเพื่อทราบและประกาศบังคับใช้ภายในเดือนเมษายน
2561 ต่อไป ทั้งนี้
ประชาชนและผู้สนใจสามารถให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน
ได้ที่ Thaienergyreform2017@gmail.com หรือทางไปรษณีย์ถึง
"สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(ปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน)” เลขที่ 962 ถนนกรุงเกษม แขวงวัดโสมนัส
เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย จังหวัดกรุงเทพฯ 10100 หรือที่เว็บไซต์
www.nesdb.go.th”