คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันวาง
5 ยุทธศาสตร์หลัก
มุ่งเน้นพัฒนาภาคเกษตรไทยให้ก้าวไปสู่มหาอำนาจทางการเกษตร
พร้อมกับสร้างประเทศไทยยุคใหม่ด้วยอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต
ขณะเดียวกันต้องสร้างให้ไทยเป็นแม่เหล็กการท่องเที่ยวระดับโลก
ที่ต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงไทยและเชื่อมโยงโลก
ตลอดจนสร้างนักรบเศรษฐกิจยุคใหม่
เพื่อขับเคลื่อนไทยไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว
นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์
ประธานคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน
เปิดเผยในงานแถลงข่าว ณ
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ว่า
คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันได้เสนอร่างยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติพิจารณาแล้ว
ภายใต้วิสัยทัศน์ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
และสอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ
ภายใต้บริบทของไทยที่สอดคล้องกับกติกาสากล
ที่สำคัญคือความต่อเนื่องของการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ควบคู่กับการสร้างและพัฒนา "คน”
ซึ่งเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ต้องปรับเปลี่ยนการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบที่สอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคม
ภายใต้ข้อจำกัดและความท้าทายต่างๆ ทั้งในประเทศและในเวทีโลก
ในอนาคต 20 ปี
ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันจึงมุ่งพัฒนาประเทศ
บนฐานแนวคิดการ "ต่อยอดอดีต”
โดยใช้ความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ อัตลักษณ์ไทย
ทุนทางวัฒนธรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ ทุนทางความคิดสร้างสรรค์
นำมาประยุกต์ผสมผสานกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และดิจิทัล
เพื่อ "ปรับปัจจุบัน”
สู่เศรษฐกิจที่เน้นการสร้างมูลค่าและขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
ยกระดับภาคการผลิตและบริการที่เป็นฐานรายได้เดิมและอนาคตใหม่ที่สร้างรายได้สูง
และ "สร้างคุณค่าใหม่ในอนาคต”
ด้วยการสร้างและเพิ่มศักยภาพนักรบเศรษฐกิจยุคใหม่
เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนในเวทีโลก
ควบคู่ไปกับการยกระดับรายได้และการกินดีอยู่ดี
รวมถึงการเพิ่มขึ้นของคนชั้นกลางและลดความเหลื่อมล้ำของคนในประเทศได้ในคราวเดียวกัน
มหาอำนาจทางการเกษตร
โดยมุ่งเน้นให้คนในภาคเกษตรกรที่มีกว่า 25 ล้านคน หรือร้อยละ 38
เมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศ ในปี 2558
มีรายได้สูงและอยู่ได้อย่างยั่งยืน
ซึ่งไทยเป็นผู้เล่นสำคัญด้านการผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรในเวทีโลกด้วยพื้นฐานทางพืชเกษตรเขตร้อน
และข้อได้เปรียบด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่สามารถพัฒนาต่อยอดโครงสร้างธุรกิจการเกษตรด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่ม
เน้นเกษตรคุณภาพสูง และขับเคลื่อนการเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ให้ความสำคัญกับการเพิ่มผลิตภาพการผลิตทั้งเชิงปริมาณและมูลค่า
และความหลากหลายของสินค้าเกษตร
เพื่อรักษาฐานรายได้เดิมและสร้างฐานอนาคตใหม่ที่สร้างรายได้สูง
ทั้งเกษตรปลอดภัย
ที่ควบคุมป้องกันอันตรายจากฟาร์มถึงโต๊ะอาหาร (Farm to Fork)
เกษตรชีวภาพ
ซึ่งไทยมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำในการผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรในระดับโลก
เกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น
เพื่อส่งเสริมการนำอัตลักษณ์พื้นถิ่นและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์เกษตรที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
เกษตรอัจฉริยะ
ที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาเป็นฟาร์มอัจฉริยะ (Smart
farm) ที่ใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
และการแปรรูปสินค้าเกษตรขั้นสูง
ปรับใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการส่งออกผลิตผลทางการเกษตรพรีเมียมสู่ตลาดโลก
อุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต
พร้อมรับมือและสร้างโอกาสจากความท้าทายที่เกิดขึ้นจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่
4 ที่เป็นผลของการหล่อหลอมเทคโนโลยีดิจิทัล เทคโนโลยีชีวภาพ
และเทคโนโลยีทางกายภาพเข้าด้วยกัน
ไทยจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงพื้นฐานโครงสร้างอุตสาหกรรมและบริการ
เพิ่มบุคลากรที่มีทักษะและความรู้ตามความต้องการของตลาด
สร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมและบริการที่เหมาะสม
และสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการอย่างยั่งยืน จากอุตสาหกรรมชีวภาพ
เพื่อต่อยอดจากภาคเกษตรไทยและมุ่งสู่อุตสาหกรรมบนฐานชีวภาพที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
อุตสาหกรรมและบริการการแพทย์ครบวงจร
เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุและนำไปสู่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมและบริการการแพทย์
อุตสาหกรรมและบริการดิจิทัล ข้อมูล
และปัญญาประดิษฐ์ เพื่อยกระดับนวัตกรรมของเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ
สร้างแพลตฟอร์มใหม่
สำหรับเศรษฐกิจในอนาคตและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน อุตสาหกรรมและบริการขนส่งและโลจิสติกส์
โดยพัฒนาการขนส่งรูปแบบใหม่ อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ
รวมทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ
เพื่อไปสู่การเป็นศูนย์กลางและฐานการผลิตของภูมิภาคและส่งออกสู่ตลาดโลก
และอุตสาหกรรมความมั่นคงของประเทศ
ต่อยอดจากฐานอุตสาหกรรมที่ไทยมีความเข้มแข็งอยู่แล้วไปสู่การส่งออก
เพื่อการพึ่งพาตัวเองในการรับมือกับภัยคุกคามและภัยพิบัติต่างๆ
แม่เหล็กการท่องเที่ยวระดับโลก
โดยรักษาการเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญของการท่องเที่ยวระดับโลก
มุ่งพัฒนาธุรกิจด้านการท่องเที่ยวให้มีมูลค่าสูงเพิ่มมากยิ่งขึ้น
ด้วยอัตลักษณ์และวัฒนธรรมไทย
และใช้ประโยชน์จากข้อมูลและภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อสร้างสรรค์คุณค่าทางเศรษฐกิจและความหลากหลายของการท่องเที่ยวให้สอดรับกับทิศทางและแนวโน้มของตลาดยุคใหม่
สร้างรายได้ให้กับชุมชนและเมือง
รวมทั้งแรงงานในภาคท่องเที่ยวที่มีถึงร้อยละ 11 ของประชากรทั้งประเทศ
ทั้งการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม
ผ่านการสร้างและพัฒนาสินค้าและบริการ ได้แก่ อาหารไทย (Food)
ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) ผ้าไทยและการออกแบบตามสมัยนิยม (Fashion)
เทศกาล ประเพณี และความเชื่อ (Festival and Faith)
ศิลปะการต่อสู้ของไทย (Fighting) การท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ
สู่การเป็นศูนย์กลางการจัดประชุมและนิทรรศการนานาชาติของโลก
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ความงาม และแพทย์แผนไทย
เพื่อต่อยอดจากอุตสาหกรรมและบริการการแพทย์ครบวงจร การท่องเที่ยวสำราญทางน้ำ
สู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวสำราญทางทะเลและชายฝั่ง
และเป็นแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรมลุ่มน้ำที่มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น
และการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับต่างประเทศ
เพื่อกระจายโอกาสในการสร้างรายได้ไปสู่ชุมชนและเมืองและพัฒนาการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวไทยกับประเทศอื่นๆ
ในภูมิภาค
เชื่อมไทย เชื่อมโลก
ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจอาเซียน
และเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญของภูมิภาคเอเชีย (Asia’s super corridor)
ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพในการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมอย่างไร้รอยต่อ
จากเอเชียตะวันออกถึงเอเชียใต้โดยมีไทยเป็นจุดเชื่อมโยงหลักของการคมนาคมให้เป็นระเบียงเศรษฐกิจแห่งเอเชีย
ด้วยโครงข่ายคมนาคมทุกรูปแบบ เพิ่มพื้นที่และเมืองเศรษฐกิจ
พัฒนาเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกดังเช่นระเบียงเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก
(EEC) เชื่อมต่อเขตเศรษฐกิจตะวันตก
สร้างศูนย์กลางเศรษฐกิจและนวัตกรรมแห่งใหม่ในส่วนภูมิภาคคู่ขนานกับการเติบโตของกรุงเทพฯ
และสร้างเมืองเศรษฐกิจเฉพาะด้าน เช่น เมืองศูนย์กลางยางพารา
เมืองนวัตกรรมอาหาร เมืองสมุนไพร ฯลฯ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสมัยใหม่
สร้างระเบียงทางด่วนดิจิทัล (Digital super corridor)
และเสริมสร้างความรู้และโอกาสในการเข้าถึงโครงข่ายบรอดแบรนด์หลากรูปแบบตามความเหมาะสมของพื้นที่
และการนำวิทยาศาสตร์ข้อมูล ปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์
และการออกแบบที่คำนึงถึงผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง (Human-centered design)
มาใช้ในภาคการผลิตและบริการ ไปจนถึงการรักษาและเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค
เพื่อรองรับความผันผวนทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก และการสร้างพลวัตทางกฎหมายที่เป็นธรรมและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน
เพื่ออำนวยความสะดวกและลดต้นทุนในการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ เงินทุน
บุคลากร และเชื่อมโยงประเทศไทยกับประชาคมโลก
สร้างนักรบเศรษฐกิจยุคใหม่
ทั้งผู้ประกอบรายใหญ่ กลาง เล็ก วิสาหกิจเริ่มต้น วิสาหกิจชุมชน
วิสาหกิจเพื่อสังคม รวมทั้งเกษตรกร ให้เป็นผู้ประกอบการอัจฉริยะที่มีทักษะและจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการที่มีความสามารถในการแข่งขันที่มีอัตลักษณ์ชัดเจน
โดยมีนวัตกรรมในการสร้างโมเดลธุรกิจ นวัตกรรมในเชิงสินค้าและบริการ
และนวัตกรรมในเชิงกระบวนการผลิตและบริการ
พร้อมทั้งเป็นนักการค้าที่เข้มแข็งที่จะนำไปสู่การสนับสนุนการเป็นชาติการค้า
มีความสามารถในการเข้าถึงตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เป็นผู้ประกอบการที่ "ผลิตเก่ง ขายเก่ง” หรือ "ซื้อเป็น ขายเป็น”
บริการเป็นเลิศ สามารถขยายการค้าและการลงทุนไปต่างประเทศ
และประกอบการอย่างมีธรรมาภิบาล พร้อมไปกับการสร้างโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงิน ตลาด และข้อมูล
รวมทั้งปรับบทบาทและกลไกภาครัฐเพื่อสร้างสังคมผู้ประกอบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปสู่ประเทศพัฒนาแล้ว
นายสถิตย์ กล่าวในตอนท้ายว่า
ต่อจากนี้ สศช.
ซึ่งทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติจะนำร่างยุทธศาสตร์ชาติ
ไปดำเนินการรับฟังความเห็นเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนทั่วประเทศทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค
ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2561 นอกจากนี้
ประชาชนทั่วไปสามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ
ผ่านช่องทาง (1) เว็บไซต์
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ www.nesdb.go.th
(2) โทรสาร หมายเลข 0 2282 9149 (3)
เฟซบุ๊ค "ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” และ (4)
จดหมาย
โดยส่งมาที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 962
ถนนกรุงเกษม แขวงวัดโสมนัส เขตป้อมปราบฯ กรุงเทพฯ 10100
วงเล็บมุมซองว่า
"คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน”
ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
หมายเหตุ :
คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน รวม
11 คน ประกอบด้วย
นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล
นายจรัล งามวิโรจน์เจริญ นายปพนธ์ มังคละธนะกุล นายธฤต จรุงวัฒน์
นายวิบูลย์ คูสกุล นายสุภัค ศิวะรักษ์ นางวันทนีย์ จิราธิวัฒน์
นางสาวอรกัญญา พิบูลธรรม นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล
และศาสตราจารย์ศักดา ธนิตกุล กรรมการและเลขานุการ
ข่าว :
ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน
ภาพ : อมรเทพ ศรีประเสริฐ
|