รับฟังความคิดเห็นปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน ครั้งที่ 3 เรื่อง
เทคโนโลยี นวัตกรรมพลังงานฯ
มุ่งสร้างความตระหนักถึงผลกระทบและเตรียมความพร้อมทุกภาคส่วนเพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
(Disruptive Technology)
เพื่อให้เกิดการใช้โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
ช่วยกระตุ้นการลงทุนและการจ้างงานจากอุตสาหกรรมใหม่ที่จะส่งเสริมพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
มุ่งเปลี่ยนผ่านประเทศไทยเข้าสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ (Low
Carbon Society)
เชื่อมั่นว่าการพัฒนาเทคโนโลยีและส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและระบบสำรองไฟฟ้า
(Energy Storage) จะเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศ
พร้อมทั้งช่วยรับมือแนวโน้มสถานะผู้ใช้เปลี่ยนเป็นผู้ผลิต (Prosumer)
ของกิจการไฟฟ้า
วันพุธที่ 13 ธันวาคม 2560 เวลา 13.00 น. ณ ห้องแพลทตินั่มฮอลล์
ชั้น 2 โรงแรมแกรนด์ ฮิลล์ รีสอร์ท แอนด์ สปา
จังหวัดนครสวรรค์ นายพรชัย
รุจิประภา ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน
กล่าวถึงงานสัมมนารับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชนและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน
ครั้งที่ 3 ถึงการให้ความสำคัญกับประเด็นการปฏิรูปพลังงาน เรื่อง
"เทคโนโลยี นวัตกรรมพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งแวดล้อม”
เนื่องมาจากปัจจุบันประเทศไทยมีการผลิตและการใช้พลังงานที่ขาดประสิทธิภาพ
โครงสร้างพื้นฐาน อาทิ โรงไฟฟ้า ระบบสายส่ง ระบบจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า
รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ
ไม่ได้รับการปรับปรุงหรือลงทุนอย่างเพียงพอเพื่อรองรับเทคโนโลยีหรือการใช้พลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป
ทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานได้ตามศักยภาพที่ควรจะเป็นและก่อให้เกิดความสูญเสียในระบบพลังงานของประเทศ
ขณะที่กลไกการบริหารจัดการ กฎหมาย
และระเบียบยังไม่เอื้อต่อการพัฒนาหรือพร้อมรับความเสี่ยงจากบริบทการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ได้แก่ ผลกระทบจากการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศและพันธกรณีระหว่างประเทศ
การเปลี่ยนแปลงและการขยายตัวของสังคมเมือง
และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ อันจะนำมาสู่สภาพตลาด รูปแบบธุรกิจ
และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน อาทิ
ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์
ระบบการกักเก็บพลังงาน ยานยนต์ไฟฟ้า ได้ช่วยขจัดปัญหาและอุปสรรคต่างๆ
และจะนำมาสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญ (Turning point)
ของอุตสาหกรรมพลังงานเช่นที่เกิดขึ้นกับธุรกิจมือถือ กล้อง
และทีวีดิจิตัล
นายกวิน
ทังสุพานิช กรรมการและเลขานุการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน
ผู้รับผิดชอบประเด็นการปฏิรูปประเทศเรื่องเทคโนโลยี นวัตกรรมพลังงานฯ
เห็นว่าการเตรียมความพร้อมของระบบไฟฟ้าของประเทศควรต้องเริ่มตั้งแต่ปฏิรูปวิธีการจัดทำแผนบริหารจัดการพลังงาน
ปรับปรุงวิธีการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP)
และจำเป็นต้องนำปัจจัยด้านพัฒนาการของเทคโนโลยีและแนวโน้มมาร่วมพิจารณาตั้งแต่การจัดทำแผน
โดยพัฒนาปรับปรุงโครงข่ายระบบส่ง ระบบจำหน่าย
และศูนย์ควบคุมโครงข่ายไฟฟ้า ให้เป็นระบบ Smart Grid หรือ Digital
Grid นำเทคโนโลยีมาช่วยพยากรณ์และควบคุมสั่งการการผลิตและการใช้ไฟฟ้าอย่าง
Real Time และแม่นยำ เพื่อรวบรวมข้อมูลและนำไปวิเคราะห์ นอกจากนี้
ควรนำเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System)
มาใช้ในระบบโครงข่ายไฟฟ้า
เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นเพียงพอรองรับโหลดการใช้ไฟฟ้าที่มีความผันผวนและพร้อมรับมือแนวโน้มสถานะผู้ใช้เปลี่ยนเป็นผู้ผลิต
(Prosumer) ของกิจการไฟฟ้าได้
อย่างไรก็ตาม
แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยี
นวัตกรรมพลังงานฯ แล้วในหลายเรื่อง
แต่จากการทบทวนผลการดำเนินงานพบว่า การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าและการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานยังดำเนินการในลักษณะตั้งรับต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีดังกล่าว การกำหนดนโยบายยังขาดการบูรณาการด้านทิศทางและเป้าหมายการลงทุนมีการดำเนินการส่งเสริมการลงทุนในหลายรูปแบบที่อาจไม่สอดคล้องและเป็นเอกภาพกับภาคเอกชนผู้ลงทุน
ซึ่งปัญหาดังกล่าวส่งผลต่อกระทบโดยตรงต่อการวางแผนด้านด้านพลังงานเพื่อรองรับ
คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานจึงได้วิเคราะห์ปัญหาและสรุปเป็น
(ร่าง) ข้อเสนอการปฏิรูป 3 เรื่องที่สำคัญ ได้แก่ (1)
การปฏิรูปการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย เพื่อให้เกิดการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาและการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในระยะสั้น
ระยะปานกลาง
และระยะยาวมีการจัดทำแผนปฏิบัติการที่ครอบคลุมทั้งด้านกฎหมาย นโยบาย
มาตรการ โครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาเทคโนโลยี (Reverse
Engineering) ที่ชัดเจน
พร้อมทั้งปรับปรุงแผนด้านพลังงานและจัดหาพลังงานให้มีความสอดคล้องกัน (2)
การปฏิรูปการส่งเสริมเทคโนโลยีระบบการกักเก็บพลังงาน โดยกำหนดกลไกเพื่อบูรณาการการขับเคลื่อนในรูปแบบคณะกรรมการภายใต้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
(กพช.) เพื่อศึกษาโอกาสและความเป็นไปได้ในการส่งเสริมการลงทุน
กำหนดแผนการนำมาใช้ในระบบสายส่งในภาคพลังงาน ภายใน 1 ปี
และ (3) การปฏิรูปโครงสร้างการใช้พลังงานภาคขนส่ง
ระยะ 20
ปี โดยกำหนดทิศทางการใช้พลังงานในภาคขนส่งเพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบใช้เป็นกรอบในการกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
เช่น นโยบายด้านการเกษตรในส่วนของเชื้อเพลิงชีวภาพ
นโยบายด้านอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์
และนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เป็นต้น
ขณะที่หน่วยงานที่รับผิดชอบและผู้เกี่ยวข้อง
สามารถจัดหาและบริหารจัดการเชื้อเพลิงประเภทต่างๆ ให้มีปริมาณเพียงพอ
มีราคาที่เหมาะสม
และสอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงานในอนาคต
ทั้งนี้ หากมีการขับเคลื่อนและแก้ไขในส่วนที่เป็นประเด็นสำคัญ
(Critical issues) ได้
คาดว่าจะช่วยลดความเสี่ยงด้านสัดส่วนเชื้อเพลิงที่ไม่สมดุลและกำลังการผลิตสำรองที่ไม่เหมาะสม
เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนเข้าสู่ระบบไฟฟ้า
และสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เพิ่มมากขึ้น
นายสุวิทย์ ธรณินทร์พานิช
ประธานคลัสเตอร์พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
วิทยากรพิเศษในงานสัมมนาฯ กล่าวอย่างมั่นใจว่าการพัฒนาเทคโนโลยีและส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและระบบสำรองไฟฟ้าเป็นยุทธศาสตร์ประเทศที่สำคัญ
โดยหากพัฒนาโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ควบคู่ไปด้วย
จะช่วยให้ยานยนต์ไฟฟ้าสามารถชาร์จไฟได้ในที่สาธารณะ ส่งเสริม
"พลังงานหมุนเวียน" ลดการพึ่งพาโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานฟอสซิล
ช่วยให้แต่ละเมืองลดมลภาวะทางเสียงและปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ
ขณะที่การส่งเสริมระบบสำรองไฟฟ้าจะช่วยเพิ่มเสถียรภาพระบบไฟฟ้า
โดยเฉพาะในช่วงความต้องการไฟฟ้าสูง (Cut Peak) และรองรับยานยนต์ไฟฟ้า
ตลอดจนระบบสำรองไฟฟ้าอื่นๆ อีกทั้งช่วยสร้างรายได้
และก่อให้เกิดการจ้างงานในประเทศมากขึ้น
ทั้งนี้ "การจัดกิจกรรมรับฟังความคิดเห็น
ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการการมีส่วนร่วมรับฟังความคิดเห็นของภาคประชาชนและหน่วยงานของรัฐ
ที่ได้รับการแต่งตั้งเพื่อช่วยดำเนินการตามมาตรา 18 (3)
แห่งพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2560
เป็นผู้ดำเนินการร่วมกับคณะทำงานฯ
โดยได้กำหนดจัดสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นจำนวนทั้งสิ้น 4 ครั้ง
สำหรับครั้งต่อไป คือ ครั้งที่ 4
ประเด็นด้านน้ำมันเชื้อเพลิง ด้านก๊าซธรรมชาติ และด้านปิโตรเคมี
ในวันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม 2560 ตั้งแต่เวลา 13.00 น. ณ โรงแรม โกลเด้น
ซิตี้ ระยอง
จ.ระยอง จึงอยากเชิญชวนให้ทุกภาคส่วนมาร่วมแสดงความคิดเห็น”
พลเอกเลิศรัตน์ รัตนวานิช
กรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานและประธานอนุกรรมการการมีส่วนร่วมรับฟังความคิดเห็นของภาคประชาชนและหน่วยงานของรัฐ
กล่าว
สำหรับผู้ที่ต้องการมีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนารับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์
www.ptit.org/publichearing หรือส่งข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะผ่านอีเมล์
Thaienergyreform2017@gmail.com หรือทางไปรษณีย์ถึง
"สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(ปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน)” เลขที่ 962 ถนนกรุงเกษม แขวงวัดโสมนัส
เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย จังหวัดกรุงเทพฯ 10100 หรือที่เว็บไซต์
www.nesdb.go.th
|