คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันวาง
4 เป้าหมาย ตอบวิสัยทัศน์ "มั่นคง มั่งคั่ง
ยั่งยืน”
มุ่งสู่เศรษฐกิจที่เน้นการสร้างมูลค่าและขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
ที่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มผลิตภาพการผลิตบนพื้นฐานของการพัฒนาและใช้วิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี นวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และอัตลักษณ์ความเป็นไทย
นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์
ประธานคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน
เปิดเผยในงานแถลงข่าว ณ
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ว่า
คณะกรรมการยุทธศาสตร์ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านต่างๆ
รวม 6 คณะด้วยกัน ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2560
สำหรับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน
มีหน้าที่จัดทำยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการแข่งขันที่จะบรรลุวิสัยทัศน์ด้านความ
"มั่งคั่ง” ภายใต้วิสัยทัศน์ "ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”
องค์ประกอบของกรรมการจึงมาจากผู้เชี่ยวชาญที่หลากหลายสาขา ประกอบด้วย
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล นายจรัล งามวิโรจน์เจริญ นายปพนธ์ มังคละธนะกูล
นายธฤต จรุงวัฒน์ นายวิบูลย์ คูสกุล นายสุภัค ศิวรักษ์ นางวันทนีย์
จิราธิวัฒน์ นางสาวอรกัญญา พิบูลธรรม นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล
และศาสตราจารย์ศักดา ธนิตกุล ซึ่งคณะกรรมการฯ
ต้องทำงานแข่งกับเวลาภายใต้ข้อกำหนดของกฎหมายที่ต้องเสนอร่างยุทธศาสตร์ให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติพิจารณาภายใน
120 วัน โดยครบกำหนดวันที่ 24 มกราคม 2561
อย่างไรก็ตาม ในบทเฉพาะกาล มาตรา 8(4)
ให้ใช้ร่างยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี
ที่คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30
มิถุนายน 2558 จัดทำขึ้น
และมีการปรับมาเป็นระยะมาใช้เป็นหลักในการจัดทำร่างยุทธศาสตร์ชาติเบื้องต้น
ซึ่งคณะกรรมการฯ ก็ได้นำมาใช้เป็นข้อมูลตั้งต้น
และภายหลังจากที่คณะกรรมการฯ ได้มีการประชุมหารือกันมาระยะหนึ่ง
ทำให้สามารถวางเป้าหมายด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันออกมาได้
4 เป้าหมาย ซึ่งคณะกรรมการฯ
ได้มีการพิจารณาบนหลักการว่าจะต้องสามารถบรรลุเป้าหมายได้จริง
ขณะเดียวกันต้องมีความท้าทายด้วย เพราะหน่วยงานต่างๆ
ต้องนำยุทธศาสตร์ชาติไปแปลงเป็นแผนปฏิบัติการและสำนักงบประมาณต้องพิจารณางบประมาณให้กับแผนงานโครงการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้วย
จึงเป็นยุทธศาสตร์ที่พร้อมจะนำไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมซึ่งจะเป็นการขยับก้าวเดินไปพร้อมกันทุกองคาพยพ
เริ่มจากเป้าหมายที่ 1
ไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีรายได้ต่อหัวมากกว่า 15,000
ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนต่อปี ภายใน 20 ปี ซึ่งในปี 2559
ประเทศไทยมีรายได้ต่อหัวประมาณ 6,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนต่อปี
โดยปัจจุบันธนาคารโลกได้กำหนดว่าประเทศที่พัฒนาแล้วคือประเทศที่มีรายได้ต่อหัวมากกว่า
12,235 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี
เป็นตัวเลขที่ธนาคารโลกเพิ่งปรับเมื่อเดือนกรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา
ซึ่งธนาคารโลกมีการปรับตัวเลขเป็นระยะมาโดยตลอด
และเมื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ดังกล่าวในช่วง 10 ปีย้อนหลัง
พบว่ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 175 ถึง 250 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ต่อคนต่อปี เนื่องจากการปรับตัวของปัจจัยทางเศรษฐกิจของโลก ดังนั้น
การพิจารณาเกณฑ์ที่เหมาะสมในอีก 20 ปี
หากพิจารณาการปรับหลักเกณฑ์เพิ่มขึ้นเฉลี่ยขั้นต่ำที่ 175
ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนต่อปี
ไทยจะกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวที่ 15,000
ดอลลาร์สหรัฐฯ ในอีก 15 ปี
ในขณะที่หากการปรับหลักเกณฑ์เพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 250 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ต่อคนต่อปี
ไทยจะกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วเมื่อสิ้นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ 15 หรืออีก 20 ปีข้างหน้า โดยคำนวณจากอัตราการเติบโตของ GDP
ที่ร้อยละ 5 คณะกรรมการฯ จึงตั้งเป้าที่ 15,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ต่อคนต่อปี ภายใน 20 ปี คือ ปี 2580
โดยการจะไปให้ถึงเป้าหมายดังกล่าว ต้องใช้แรงผลักจากเป้าหมายที่ 2 คือ
อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP
ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 ในช่วง 20 ปี ทั้งนี้
ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราการขยายตัวของ GDP อยู่ที่ประมาณร้อยละ 3.8 -
4.0
แม้ในสภาวะที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงที่ผ่านมาจะถดถอยอยู่ที่ร้อยละ
3 ซึ่งการผลักดันการขยายตัวของ GDP ที่ร้อยละ 5 ประกอบด้วย
การขยายตัวของปัจจัยทุน ร้อยละ 2.6 และผลิตภาพการผลิต ร้อยละ 2.5
ในขณะที่กำลังแรงงานยังคงส่งผลเชิงลบ ร้อยละ 0.10
และปัจจัยที่ดินไม่ส่งผลต่อการขยายตัวของ GDP
เนื่องจากมีการใช้ประโยชน์และไม่สามารถขยายได้อีก
จึงต้องอาศัยการขยายตัวของการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน
ภาครัฐต้องสนับสนุนมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้กับภาคเอกชน
และอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ
ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่หรือรายเล็ก
ไปพร้อมกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของรัฐ
เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น
แรงผลักอีกตัวคือเป้าหมายที่ 3
ผลิตภาพการผลิตรวมหรือ TFP ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 3
เป็นเป้าหมายที่ท้าทาย
เพื่อให้สามารถเข้าสู่ประเทศพัฒนาแล้วได้เร็วขึ้น โดยในปี 2558
ไทยมีผลิตภาพการผลิตรวมอยู่ที่ร้อยละ 1.7
โดยผลิตภาพการผลิตรวมมาจากปัจจัยแรงงาน ที่ดิน ทุน และผลิตภาพการผลิต
ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 ปี 2550 - 2554
ผลิตภาพการผลิตรวมอยู่ที่ร้อยละ 0.23 ขณะที่ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9
ปี 2545 - 2549 ไทยเคยมีผลิตภาพการผลิตรวมอยู่ที่ร้อยละ 3.3
ซึ่งสาเหตุที่ผลิตภาพการผลิตปรับลดลงเนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกและวิกฤติน้ำท่วมในประเทศที่ทำให้การผลิตลดลงในขณะที่กำลังแรงงานในระบบคงที่
และแม้ว่าผลิตภาพการผลิตรวมจะมีปัจจัยเสี่ยงด้านแรงงานเนื่องจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
ซึ่งส่งผลต่อกำลังการผลิตและอุปสงค์ในประเทศ
จึงต้องปรับปรุงประสิทธิภาพของแรงงาน
และต้องเร่งการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและใช้เทคโนโลยีขั้นก้าวหน้าหรือนวัตกรรมใหม่ในการผลิต
อย่างไรก็ตาม
ภาครัฐสามารถส่งเสริมการเติบโตของการลงทุนได้ในระยะเวลาหนึ่ง
แต่หลังจากนั้นควรเป็นการขับเคลื่อนจากผลิตภาพการผลิตและเทคโนโลยี
อันเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน
เป้าหมายที่ 4 คือ ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 1
ใน 20 ของการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของ International
Institute for Management Development หรือ IMD ซึ่งสถาบัน IMD
เป็นสถาบันจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่เน้นปัจจัยด้านเศรษฐกิจมหภาค
ทั้งนี้อันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ
รวมทั้งไทยมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก
แต่ละประเทศต่างเร่งพัฒนาตัวเองเพื่อรักษาอันดับของตนไว้ ซึ่งในช่วง
10 ปีที่ผ่านมา พบว่าประเทศไทยอยู่ในช่วงอันดับที่ 25 - 30
โดยมีจุดอ่อนในด้านประสิทธิภาพการผลิต โครงสร้างพื้นฐานทั่วไป
โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์
ด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และด้านการศึกษา เมื่อพิจารณาประเทศใน 15
อันดับแรก พบว่า ด้านประสิทธิภาพการผลิต
โครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และด้านการศึกษา
เป็นจุดแข็งของประเทศเหล่านี้แต่กลับเป็นจุดอ่อนของไทย
ดังนั้นการที่ไทยจะพัฒนาอยู่ในอันดับ 1 ใน 20 ได้
จึงเป็นความท้าทายอย่างมากที่จะต้องเร่งพัฒนาประเทศให้เร็วกว่าการพัฒนาของประเทศอื่น
ซึ่งปี 2560 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 27 จาก 63 ประเทศ
ปรับตัวดีขึ้นจากปีที่แล้ว 1 อันดับ
และมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นมาตั้งแต่ปี 2554
ขณะนี้กรรมการฯ
อยู่ระหว่างพิจารณาในส่วนของแนวทางการพัฒนาด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันในภาคการผลิตและบริการ
โดยมุ่งสู่เศรษฐกิจที่เน้นการสร้างมูลค่าและขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
และให้ความสำคัญกับการเพิ่มผลิตภาพการผลิตบนพื้นฐานของการพัฒนาและใช้วิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์
ซึ่งเมื่อมีความชัดเจนแล้วจะแจ้งให้ทราบในลำดับต่อไป
และเมื่อจัดทำร่างยุทธศาสตร์แล้วเสร็จ
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ซึ่งทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติจะนำไปรับฟังความเห็นเพิ่มเติมต่อไป
นายสถิตย์ กล่าวในตอนท้ายว่า
ประชาชนทั่วไปสามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ
ผ่านช่องทางต่างๆ ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ได้แก่ (1) เว็บไซต์
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
www.nesdb.go.th (2) โทรสาร หมายเลข 0 2282
9149 (3) เฟซบุ๊ค "ยุทธศาสตร์ชาติ 20” และ
(4) จดหมาย
โดยส่งมาที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 962
ถนนกรุงเกษม แขวงวัดโสมนัส เขตป้อมปราบฯ กรุงเทพฯ 10100
วงเล็บมุมซองว่า "คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้าน..........”
|