ดร.ปรเมธี วิมลศิริ
เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พร้อมด้วย
นางชุตินาฏ วงศ์สุบรรณ รองเลขาธิการฯ
และผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(สศช.) ที่เกี่ยวข้อง แถลงข่าวภาวะสังคมไทยไตรมาสแรก ปี 2560
มีรายละเอียด ดังนี้
ความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญได้แก่ คนไทยมีสุขภาพจิตที่ดี
การเจ็บป่วยทางกายด้วยโรคเฝ้าระวังและโรคไข้เลือดออกลดลง
ภาวะโภชนาการในเด็กเล็ก การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
และการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น มีแนวโน้มดีขึ้น
ค่าใช้จ่ายในการบริโภคบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลง
ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินดีขึ้น อย่างไรก็ดี
ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามและเฝ้าระวัง ได้แก่ สถานการณ์การจ้างงาน
การว่างงาน และรายได้แรงงานลดลงเล็กน้อย
การเกิดอุบัติเหตุจราจรมากขึ้นทั้งยังมีผู้บาดเจ็บเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์
การคุ้มครองผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ
และการเตรียมความพร้อมทักษะแรงงานไทยในอุตสาหกรรมศักยภาพและในอนาคต
โดยมีสาระดังนี้
การจ้างงานลดลง อัตราการว่างงานสูงขึ้นเล็กน้อย
ผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้น
ไตรมาสแรกปี 2560
การจ้างงานภาคเกษตรลดลงเนื่องจากการเคลื่อนย้ายแรงงานไปสู่ภาคนอกเกษตรต่อเนื่องจากช่วงปี
2557–2559 ที่ภาคเกษตรประสบภัยแล้งรุนแรง
ประกอบกับแรงงานที่เข้ามาทดแทนลดลง
และแรงงานส่วนหนึ่งออกจากการเป็นกำลังแรงงานเนื่องจากการสูงอายุ
สำหรับการจ้างงานภาคนอกเกษตรลดลงในสาขาอุตสาหกรรมและก่อสร้าง
เนื่องจากการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่
ส่วนสาขาขายส่ง/ขายปลีก โรงแรมและภัตตาคาร
และการขนส่ง/เก็บสินค้ายังมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นตามการบริโภคครัวเรือนและภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัว
อัตราการว่างงานเท่ากับร้อยละ 1.2
ส่วนค่าจ้างแรงงานภาคเอกชนที่ไม่รวมผลประโยชน์ตอบแทนอื่นๆ
และค่าล่วงเวลาลดลงเล็กน้อยร้อยละ 0.9 อย่างไรก็ดี
ค่าจ้างภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2
และผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0
ประเด็นที่คาดว่าจะมีผลต่อเนื่องในระยะต่อไป ได้แก่
1. การเคลื่อนย้ายแรงงานภาคเกษตรและการปรับตัวของภาคเกษตร
การจ้างงานภาคเกษตรที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจากปัญหาโครงสร้างแรงงาน
โดยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แรงงานเกษตรลดลง 1.3 ล้านคน
โดยแรงงานในช่วงอายุ 30–49 ปีลดลง 0.99 ล้านคน
ซึ่งคาดว่าเป็นผลจากภาวะภัยแล้งในช่วงปี 2557–2559
ทำให้แรงงานเคลื่อนย้ายออกไปทำงานในภาคนอกเกษตร
ขณะที่แรงงานที่จะเข้ามาทดแทน และกลุ่มแรงงานสูงวัยอายุ 50
ปีขึ้นไปมีแนวโน้มลดลง
ขณะที่พื้นที่เพาะปลูกมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องโดยพื้นที่ถือครองเพื่อการเกษตรลดงจาก
151.0 ล้านไร่ในปี 2546 เป็น 149.2 ล้านไร่ในปี 2556 ลดลงเฉลี่ยปีละ
0.16 ล้านไร่
สะท้อนภาคเกษตรที่มีแนวโน้มเล็กลงทั้งจำนวนแรงงานและพื้นที่เพาะปลูก
ดังนั้น
การเพิ่มผลิตภาพการผลิตจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ ในปี
2560 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายสำคัญ
เพื่อช่วยเพิ่มผลิตภาพการเกษตรและรายได้เกษตรกร เช่น
การทำเกษตรแปลงใหญ่ การ Zoning by Agri-Map
การปรับปรุงระบบส่งน้ำ/กระจายน้ำ
การใช้เกษตรทฤษฏีใหม่และเกษตรแบบผสมผสานเป็นแนวทางที่จะช่วยขับเคลื่อนเป้าหมายที่สำคัญนี้ให้สำเร็จ
รวมถึงการสร้าง Smart Farmer
2.
การฟื้นตัวของการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนที่จะมีผลต่อการจ้างงาน
แม้การส่งออกจะมีอัตราการขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่สามปี 2559
เป็นต้นมา แต่ยังเป็นการฟื้นตัวอย่างช้าๆ
โดยมูลค่าของการส่งออกสินค้ายังคงต่ำกว่ามูลค่าการส่งออกในช่วงปี
2555-2556 ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนยังฟื้นตัวช้า
ทำให้ผู้ประกอบการชะลอการจ้างงานเพิ่ม อย่างไรก็ตาม
มีสัญญาณความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการดีขึ้นเป็นลำดับจากระดับ 48.7
ในปี 2558 เป็น 49.6 และ 50.8 ในปี 2559 และไตรมาสแรกปี 2560 ตามลำดับ
ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปี 2560
หากการส่งออกสามารถเพิ่มขึ้นได้ตามเป้าหมายและตลอดปีขยายตัวได้เฉลี่ยร้อยละ
3.6 ตามแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นตามเศรษฐกิจโลก
และการเร่งการใช้จ่ายภาครัฐโดยเฉพาะการใช้จ่ายลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
จะทำให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจ และนำไปสู่การขยายตำแหน่งงานในระยะต่อไป
โดยเฉพาะภาคการผลิต การก่อสร้าง และการขายส่ง/ขายปลีก
และช่วยลดอัตราการว่างงาน
3. การส่งเสริมการประกันตนมาตรา 40
การส่งเสริมผู้ประกอบอาชีพอิสระให้ร่วมเข้าเป็นสมาชิกประกันสังคมโดยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา
40
โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกันตนตามมาตรา
40 เป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระ แรงงานนอกระบบ
เข้าร่วมเป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคมมากขึ้น
โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2560 เป็นต้นมา ทั้งนี้
สิทธิประโยชน์และทางเลือกที่เพิ่มขึ้น อาทิ
การเพิ่มเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล วันละ
300 บาทแต่ไม่เกิน 90 วัน และได้รับค่าชดเชย 200
บาทในกรณีไม่ต้องนอนโรงพยาบาล แต่ต้องหยุดพักรักษาตัวตั้งแต่ 3
วันขึ้นไป การเพิ่มสิทธิประโยชน์บริการทางการแพทย์ เช่น
การเพิ่มวงเงินสำหรับการผ่าตัดเตรียมเส้นเลือดเพื่อฟอกไต
หรือวางท่อรับ-ส่งน้ำยาล้างช่องท้องจากเดิม 2 หมื่นบาทเป็น 3 หมื่นบาท
เป็นต้น
ซึ่งต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้แรงงานนอกระบบได้รับรู้อย่างทั่วถึง
คนไทยมีสุขภาพจิตที่ดี สอดคล้องกับดัชนีความสุขโลก
จากผลการสำรวจสุขภาพจิต (ความสุข) คนไทยของสำนักงานสถิติแห่งชาติ
พบว่า ในปี 2558 คนไทยมีคะแนนสุขภาพจิตเฉลี่ยอยู่ที่ 31.44
ซึ่งอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด โดยกลุ่มอายุ 25-59 ปี
มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาเป็นกลุ่มอายุ 15-24 ปี และ 60 ปีขึ้นไป
ตามลำดับ
ความรักความผูกพันและการดูแลซึ่งกันและกันของคนในครอบครัวมีส่วนสำคัญที่ทำให้คนไทยมีสุขภาพจิตที่ดี
สอดคล้องกับ World Happiness Report 2017
ซึ่งรายงานค่าดัชนีความสุขโลก
พบว่าประเทศไทยมีอันดับดีขึ้นจากอันดับที่ 33 ในช่วงปี 2556-2558
เป็นอันดับที่ 32 ในช่วงปี 2557-2559 และอยู่ในอันดับที่ 19
ของประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก
ผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมลดลง
แต่ยังต้องเฝ้าระวังโรคติดต่อทางอาหารและน้ำพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น
ในไตรมาสแรกปี 2560
จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2559
ร้อยละ 22.7 โดยผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกลดลงร้อยละ 44.7
เนื่องจากทุกฝ่ายร่วมกันเฝ้าระวัง
ป้องกันและควบคุมโรคที่มากับยุงลายอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม
ยังต้องเฝ้าระวังการระบาดของโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ
โดยพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2
และติดตามสถานการณ์เด็กจมน้ำในช่วงปิดภาคเรียนซึ่งเป็นช่วงที่มีเด็กจมน้ำเสียชีวิตมากที่สุดเฉลี่ยปีละ
348 คน สำหรับในปี 2560
จากข้อมูลของกรมควบคุมโรคในช่วงปิดภาคเรียนมีเด็กจมน้ำเสียชีวิต 127
คน ทั้งหมดเป็นเด็กช่วงอายุ 5-14 ปี
ภาวะโภชนาการในเด็กเล็กและการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีแนวโน้มดีขึ้น
จากผลการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย พ.ศ. 2558-2559 (MICS
5) พบว่าภาวะโภชนาการเมื่อเทียบกับปี 2555 (MICS 4)
ดีขึ้นในทุกตัวชี้วัด แต่ยังต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง
โดยเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ร้อยละ 6.7 มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
ร้อยละ 5.4 มีภาวะทุพโภชนาการเฉียบพลัน (ผอม) ร้อยละ 10.5
มีภาวะทุพโภชนาการเรื้อรัง (เตี้ย) และร้อยละ 8.2
มีน้ำหนักสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (อ้วน)
สำหรับสถานการณ์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ พบว่า เด็กอายุต่ำกว่า 6
เดือนที่กินนมแม่อย่างเดียวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี
2559 มีเด็กร้อยละ 23.1 ที่กินนมแม่อย่างเดียว และร้อยละ 42.1
กินนมแม่เป็นหลัก
แต่ยังต้องเฝ้าระวังในกลุ่มแม่ที่ไม่ได้เรียนหนังสือเนื่องจากมีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวเพียงร้อยละ
0.2
การตั้งครรภ์ในกลุ่มวัยรุ่นลดลงแต่ยังอยู่ในระดับสูง
และยังต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง อัตราการคลอดในกลุ่มอายุ 15-19 ปี
ต่อหญิงวัยเดียวกัน 1,000 คน ลดลงอย่างต่อเนื่องจากอัตรา 53.4 ในปี
2555 เป็นอัตรา 44.8 ในปี 2558 อย่างไรก็ตาม
อัตราการคลอดในกลุ่มวัยรุ่นยังอยู่ในระดับสูง และยังมี 5
จังหวัดที่มีอัตราการคลอดสูงกว่า 60.0 ได้แก่ ชลบุรี นครนายก ระยอง
ประจวบคีรีขันธ์ และสมุทรสาคร นอกจากนี้
ยังต้องเฝ้าระวังการมีเพศสัมพันธ์ในกลุ่มนักเรียนซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
อัตราป่วยด้วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มวัยรุ่นที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
และสถานการณ์การทำแท้งในกลุ่มวัยรุ่นที่พบว่าร้อยละ 53.1
มีอายุต่ำกว่า 25 ปี และร้อยละ 28.6
ยังมีสถานภาพเป็นนักเรียน/นักศึกษา
ค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ลดลง
แต่ยังต้องเฝ้าระวังภัยของเหล้า-บุหรี่ มือสอง ในไตรมาสแรก ปี 2560
ค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีมูลค่า 38,544 ล้านบาท
ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 3.2
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริโภคบุหรี่มีมูลค่า 14,972 ล้านบาท ลดลงร้อยละ
1.2 ทั้งนี้ ยังต้องเฝ้าระวังภัยของเหล้า-บุหรี่ มือสอง
ซึ่งส่งผลกระทบทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ
และสุขภาพของผู้ที่ไม่ได้ดื่มเหล้าและไม่ได้สูบบุหรี่
ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรณรงค์และขับเคลื่อนให้ประชาชนเห็นความสำคัญของพิษภัยจากการสูบบุหรี่
ผลกระทบและความสูญเสียทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม
เพื่อนำไปสู่การเลิกสูบบุหรี่และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้มีสุขภาพที่ดี
และเชิญชวนให้ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำเลิกสูบ โดยมีเป้าหมาย 3 ล้านคน
ในระยะเวลา 3 ปี
คดีอาญาโดยรวมลดลงจากการปราบปรามอาชญากรรมอย่างต่อเนื่อง
คดีอาญาโดยรวมไตรมาสแรกปี 2560 ลดลงร้อยละ 2.6 จากไตรมาสก่อนหน้า
คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์และคดียาเสพติดลดลงร้อยละ 13.5 และ 0.3
ขณะที่คดีชีวิตร่างกายและเพศเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 นอกจากนี้
ได้มีการเร่งปราบปรามภัยอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม ได้แก่
(1) การป้องกัน ปราบปราม บำบัดรักษา ฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด
โดยใช้หลักสิทธิมนุษยชนและการสาธารณสุขเป็นพื้นฐานการแก้ไขปัญหา
ภายใต้หลักการ "เข้าใจ เข้าถึง พึ่งได้”
และสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข (2)
การค้าประเวณีที่ส่งผลกระทบต่อปัญหาการค้ามนุษย์
จึงมีข้อสั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งวางมาตรการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด
กวาดล้างจับกุมการลักลอบค้าประเวณี
ดำเนินคดีข้าราชการที่เข้าไปแสวงหาผลประโยชน์
จัดให้ผู้เสียหายได้รับการคุ้มครอง และ (3)
ธุรกิจในลักษณะฉ้อโกงประชาชน
การกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ทำลายระบบเศรษฐกิจและประชาชนในทุกระดับ
ควรตรวจสอบพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
และเมื่อตกเป็นเหยื่อควรเข้ามาร้องทุกข์เพื่อตัดวงจรขบวนการ
ภาครัฐควรบูรณาการการทำงานเชิงรุกเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
ด้วยการสร้างการรับรู้ ติดตามและตรวจสอบพฤติกรรมผู้ต้องสงสัย
และจับกุมผู้กระทำความผิด
การลดการใช้ความเร็วในการขับรถเพื่อบรรเทาความสูญเสียจากการเกิดอุบัติเหตุ
ไตรมาสแรกปี 2560 อุบัติเหตุจราจรทางบกลดลงร้อยละ 7.2
มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 มูลค่าความเสียหายลดลงร้อยละ 75.0
จากไตรมาสเดียวกันปี 2559 โดยช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560
พบการเกิดอุบัติเหตุและผู้บาดเจ็บเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 และ 4.2
แต่ผู้เสียชีวิตลดลงร้อยละ 11.8 โดยเฉพาะการเสียชีวิต ณ
จุดเกิดเหตุลดลงเหลือร้อยละ 50 เป็นผลจากการคุมเข้มการใช้รถ
การเข้มงวดบังคับใช้เข็มขัดนิรภัยในทุกที่นั่งผู้โดยสารรถทุกประเภท
มาตรการห้ามนั่งท้ายระบะเกิน 6 คน
สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุดยังคงมาจากการเมาสุราและการขับรถเร็ว
ดังนั้น การแก้ไขปัญหาเมาแล้วขับ
ยังต้องเน้นการปลูกจิตสำนึกและสร้างวินัยการใช้รถใช้ถนนให้กับคนไทยอย่างเข้มข้น
รวมทั้งการแก้ปัญหาขับรถเร็วยังต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเอาจริงเอาจัง
และเมื่อตรวจพบผู้กระทำผิดให้ดำเนินคดีทันที
รวมถึงมาตรการลงโทษหากไม่เสียค่าปรับเมื่อได้รับใบสั่ง
การร้องเรียนสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น การรับร้องเรียนของ สคบ.
และ กสทช. เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 และ 11.6 จากไตรมาสก่อน
โดยสินค้าที่มีการร้องเรียนมากที่สุด คือ รถยนต์ อาคารชุด
และสินค้าบริการทั่วไป
ส่วนบริการกิจการคมนาคมมีการร้องเรียนบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่มากที่สุด
โดยประเด็นการร้องเรียนคือมาตรฐานและคุณภาพการให้บริการ
ซึ่งการดำเนินงานนอกจากจะแก้ไขปัญหาแล้วยังร่วมกับหน่วยงานรัฐและเอกชนเฝ้าระวังสินค้าบริการที่ไม่ปลอดภัยและการทดสอบสินค้าเพื่อให้การคุ้มครองผู้บริโภคมีประสิทธิภาพ
ขณะที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้รูปแบบการบริโภคสินค้าและการให้บริการเปลี่ยนไป
เช่น กรณีบริการของรถรับจ้างโดยสารสาธารณะผ่านแอปพลิชัน
ซึ่งบางบริการไม่มีกฎหมายรองรับและไม่ได้รับความคุ้มครองทั้งความปลอดภัยและการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค
จำเป็นต้องมีมาตรการกำกับดูแลเพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการให้บริการที่เปลี่ยนแปลงไป
บทความเรื่อง "การเตรียมความพร้อมทักษะแรงงานไทยในอนาคต:
กรณีกลุ่มอุตสาหกรรมศักยภาพ First S-Curve”
การปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เน้นใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนา
รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด
ส่งผลต่อรูปแบบการผลิต
และความต้องการแรงงานทั้งสาขาการศึกษาและทักษะที่เปลี่ยนแปลงไป
แรงงานจำเป็นต้องมีทักษะที่สอดคล้องกับความต้องการดังกล่าวเพื่อให้สามารถปรับตัวและลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
ซึ่งภาพรวมในปัจจุบันแรงงานในสถานประกอบการมีการศึกษาระดับ ม.3
และต่ำกว่า ร้อยละ 35.0
และส่วนใหญ่เป็นแรงงานประเภทกึ่งฝีมือและแรงงานฝีมือ อย่างไรก็ตาม
ระดับทักษะของแรงงานยังต่ำกว่าความคาดหวังของผู้ประกอบการโดยเฉพาะด้านภาษาต่างประเทศ
ความรู้กฎหมาย/ระเบียบในวิชาชีพและความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่
จากผลสำรวจทักษะแรงงานในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพที่จะเป็นอุตสาหกรรมในอนาคต
5 อุตสาหกรรม ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิคส์
เกษตร/การผลิตยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง แปรรูปอาหาร และที่พัก สปา
และเรือสำราญ ในกลุ่มแรงงานระดับกลางวุฒิ ปวช. ขึ้นไป 1,353 ตัวอย่าง
ผู้บริหาร/ผู้ประกอบการ 239 ราย ใน 10 จังหวัด พบว่า (1)
ในด้านการรับรู้เกี่ยวกับไทยแลนด์ 4.0 แรงงานร้อยละ 63.0
รับรู้แนวคิดการพัฒนาประเทศไทย 4.0 แต่ยังมีความเข้าใจไม่ตรงกัน
ผู้ประกอบการกว่าร้อยละ 80.0 เห็นด้วยกับแนวคิดไทยแลนด์ 4.0
โดยเห็นว่ามีความจำเป็นต้องขับเคลื่อนแต่ยังมีข้อกังวลในกลุ่ม SMEs
ที่ยังมีข้อจำกัดและอาจไม่สามารถก้าวทันตามการพัฒนา
ซึ่งรัฐจำเป็นต้องมีแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนในการส่งเสริมและสนับสนุน
และ (2) ด้านทักษะของแรงงาน
ผู้ประกอบการเห็นว่าแรงงานมีทักษะในระดับมาก
มีเพียงการใช้ภาษาอังกฤษและการค้นคว้าข้อมูลที่อยู่ระดับปานกลาง
แต่แรงงานจบใหม่มีทักษะต่ำกว่าแรงงานที่มีประสบการณ์ในทุกด้าน
สอดคล้องกับการประเมินตนเองของแรงงานที่ทักษะด้านภาษาอังกฤษกว่าร้อยละ
50.0 ยังต้องปรับปรุงเนื่องจากยังไม่สามารถสื่อสารได้
ส่วนการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศส่วนใหญ่มีทักษะใช้อุปกรณ์คอมพิเตอร์
แต่ยังขาดทักษะในการสร้างเนื้อหา
โดยทักษะที่ผู้ประกอบการเห็นว่าควรเพิ่มเติมในการเรียนการสอน คือ ภาษา
การฝึกปฏิบัติจริง และการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ
ทั้งนี้ การพัฒนาตามแนวคิดไทยแลนด์ 4.0
ยังมีข้อจำกัดในเรื่องการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ
คุณภาพแรงงานใหม่ยังไม่ได้ตามที่ต้องการ
การรับรู้/ความเข้าใจเกี่ยวกับไทยแลนด์ 4.0 ยังไม่ชัดเจนเพียงพอ
ขาดเงินทุน/การลงทุนนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่
และความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน จึงควรมีการดำเนินงาน ดังนี้
1.
การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี
แนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศ "ไทยแลนด์ 4.0”
ให้มีความชัดเจน ทุกภาคส่วนสื่อสารในเรื่องดังกล่าวได้ตรงกัน
เพื่อสร้างการรับรู้
ความตระหนักและนำไปสู่การเตรียมความพร้อมของทุกภาคส่วน
2. การพัฒนาทักษะแรงงาน
โดยส่งเสริมความร่วมมือและพัฒนาการออกแบบหลักสูตรอบรมให้เหมาะกับแต่ละคลัสเตอร์ของภาคอุตสาหกรรม
เพิ่มทักษะบางด้าน อาทิ ด้าน Digital Skill การจัดการ Big Data
ควบคู่กับคุณลักษณะการทำงาน อาทิ การคิดวิเคราะห์
การผสมผสานระหว่างการใช้เทคโนโลยีกับการลงพื้นที่จริงอย่างเหมาะสม
การคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถหลากหลายยืดหยุ่น รู้จักการปรับตัว
และทักษะการสร้างทีม
3. การพัฒนาแรงงานในกลุ่มต่างๆ
โดยแบ่งกลุ่มเพื่อพัฒนาได้ครอบคลุมและเหมาะสมกับศักยภาพทั้งกลุ่มแรงงานไร้ฝีมือและด้อยโอกาส
แรงงานสูงอายุ แรงงานภาคเกษตร
แรงงานในธุรกิจหรือวิสาหกิจขนาดเล็กเพื่อลดผลกระทบและความเหลื่อมล้ำให้กับแรงงานในกลุ่มเหล่านั้น
รวมทั้งยังช่วยสร้างเสริมมูลค่าทางเศรษฐกิจ
4. การวางแผนการผลิตและพัฒนาคุณภาพการศึกษา
โดยสร้างความร่วมมือระหว่างสถานประกอบการและสถานศึกษาทั้งเรื่องการพัฒนาหลักสูตร
การสนับสนุนเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ
ของธุรกิจเพื่อใช้ในการเรียนการสอน
เพื่อให้ได้บุคลากรตรงตามความต้องการและทำงานได้จริง
การพัฒนาคุณภาพการศึกษาทั้งในด้านความรู้ที่เป็นแกนหลัก
ความสามารถทำงานกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป สามารถคิดวิเคราะห์
ใช้คิดสร้างสรรค์ ภูมิปัญญา (Brain Power) และนวัตกรรม
ตลอดจนการสร้างคุณลักษณะที่เหมาะสม อาทิ มีทัศนคติที่ดี อดทน
รับผิดชอบ ทำงานที่มุ่งผลสัมฤทธิ์
5. การสนับสนุนปัจจัยอื่นๆ อาทิ โครงสร้างพื้นฐาน
การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยการผลิตที่เหมาะสมสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้โดยเฉพาะกลุ่ม
SMEs การจับคู่/สร้างความร่วมมือระหว่างผู้คิดนวัตกรรม (startup)
กับผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อให้เกิดการผลิตสินค้าบริการใหม่ๆ
ตลอดจนส่งเสริมการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ในทุกองค์กร/สถาบัน
โดยเริ่มต้นจากครอบครัว โรงเรียน ที่ทำงาน ชุมชน ฯลฯ
โดยสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เสริมสร้างแรงบันดาลใจ
บ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ มีจิตสาธารณะ
และมุ่งการทำงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
26 พฤษภาคม 2560
|