สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(สศช.)
เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณชนและภาคีการพัฒนาทุกภาคส่วนทั่วประเทศต่อ
"ร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570)”
เพื่อร่วมปรับปรุงร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ให้มีความสมบูรณ์
สอดคล้องกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่างๆ
และสามารถตอบสนองความต้องการของแต่ละภาคส่วนได้อย่างแท้จริง
ก่อนประกาศใช้ในเดือนตุลาคม 2565
วันนี้ (15 ธันวาคม 2564) นายเอนก
มีมงคล รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เป็นประธานการประชุมระดมความเห็นต่อ "ร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ.
2566-2570)” กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 ประกอบด้วย
จังหวัดกำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร และอุทัยธานี ณ 42C The
Chic Hotel จังหวัดนครสวรรค์ โดยมีนายปรีชา
เดชพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์
กล่าวต้อนรับการประชุม และรองศาสตราจารย์
ดร.พีรธร บุณยรัตพันธุ์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยนเรศวร
เป็นวิทยากร สำหรับผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย
หน่วยราชการส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบันการศึกษา
ภาคธุรกิจเอกชน เครือข่ายภาคประชาสังคม และนักวิชาการ จำนวนประมาณ 100
คน
รองเลขาธิการ สศช. กล่าวว่าปัจจุบัน สศช.
อยู่ระหว่างการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13
(พ.ศ. 2566 – 2570)
เพื่อใช้เป็นยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนพัฒนาประเทศต่อเนื่องจากแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2565) ซึ่งจะสิ้นสุดลงในเดือนกันยายน 2565
โดยน้อมนำ "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”
มากำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศในระยะของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13
รวมทั้งเป็นหลักนำทางในการขับเคลื่อนแผน
ตลอดจนยึดโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก (Sustainable
Development Goals: SDGs)
ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นในการนำประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเติบโต
สังคมก้าวหน้า
ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลในระยะยาว
การจัดประชุมระดมความเห็นร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ในครั้งนี้
จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับสาธารณชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคีการพัฒนาต่าง
ๆ เกี่ยวกับร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 รวมถึงเปิดโอกาสให้ภาคีการพัฒนาในระดับพื้นที่/กลุ่มเฉพาะ
ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13
ทั้งในระดับภาพรวม ได้แก่ เป้าหมาย กลยุทธ์ ยุทธศาสตร์
และแนวทางหลักในร่างแผนฯ และระดับหมุดหมาย ได้แก่ เป้าหมาย
ตัวชี้วัดและกลยุทธ์ในแต่ละหมุดหมาย
ให้มีความสมบูรณ์และสอดคล้องกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่างๆ
สามารถตอบสนองความต้องการของแต่ละภาคส่วนได้อย่างแท้จริง
ในกระบวนการจัดทำแผนฯ 13 สศช.
ยังคงมุ่งเน้นเปิดโอกาสให้ภาคีการพัฒนาและสาธารณชนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นต่อแผนฯ
อย่างกว้างขวาง โดยเริ่มระดมความเห็นต่อกรอบแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13
ตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน 2564 ในระดับกลุ่มจังหวัด 18
กลุ่มทั่วประเทศ และเฉพาะกลุ่มในส่วนกลาง ทั้งกลุ่มภาคราชการ ภาคเอกชน
ภาควิชาการ อดีตผู้บริหาร สศช. ผู้สูงอายุ เด็กและเยาวชน และสื่อมวลชน
รวมถึงยังจัดให้มีช่องทางออนไลน์และสื่อสาธารณะเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมแสดงความคิดเห็นได้โดยสะดวก
เพื่อให้ได้ความเห็นต่อทิศทางการพัฒนาที่หลากหลาย
สามารถแก้ปัญหา
และตอบสนองความต้องการของคนไทยในทุกพื้นที่และทุกอาชีพได้อย่างแท้จริง
ประธานที่ประชุม ได้กล่าวในตอนท้ายว่า
ภายหลังการระดมความเห็นในครั้งนี้ สศช.
จะนำความคิดเห็นที่ได้จากการประชุมมาประมวลและปรับปรุงร่างแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 13 ให้มีความครบถ้วน สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
แล้วนำเสนอต่อสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
หลังจากนั้นจะเสนอร่างดังกล่าวต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
คณะรัฐมนตรี และรัฐสภา ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย
ประกาศใช้แผนฯ อย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2565 ต่อไป
หลักจากนั้น นายโสภณ แท่งเพ็ชร์
รักษาการที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน ได้นำเสนอร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่
13 ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ว่า แผนฯ 13 มีเป้าหมายหลักของการพัฒนาในระยะ
5 ปีของแผนรวม 5 เป้าหมาย ได้แก่ (1)
การปรับโครงสร้างการผลิตสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม (2)
การพัฒนาคนสำหรับโลกยุคใหม่ (3)
การมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม (4)
การเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน และ (5)
การเสริมสร้างความสามารถของประเทศในการรับมือกับความเสี่ยงและการเปลี่ยนแปลง
ภายใต้บริบทโลกใหม่
รักษาการที่ปรึกษาฯ ได้กล่าวต่อไปว่า
เพื่อถ่ายทอดเป้าหมายหลักไปสู่ภาพของการขับเคลื่อนที่ชัดเจนในลักษณะของวาระการพัฒนา
(Agenda)
ที่เอื้อให้เกิดการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงานและหลายภาคส่วนในการผลักดันการพัฒนาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้เกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม
แผนฯ 13 จึงได้กำหนดหมุดหมายการพัฒนา จำนวน 13 ประการ โดยแบ่งเป็น 4
มิติ ได้แก่
1.
มิติภาคการผลิตและบริการเป้าหมาย ประกอบด้วย หมุดหมายที่ 1
ไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง
หมุดหมายที่ 2
ไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน
หมุดหมายที่ 3
ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก หมุดหมายที่ 4
ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง หมุดหมายที่ 5
ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค
หมุดหมายที่ 6
ไทยเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะของอาเซียน
2.
มิติโอกาสและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย
หมุดหมายที่ 7
ไทยมีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เข้มแข็ง มีศักยภาพสูง
และสามารถแข่งขันได้ หมุดหมายที่ 8
ไทยมีพื้นที่และเมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ ปลอดภัย
เติบโตได้อย่างยั่งยืน หมุดหมายที่ 9
ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลง
และคนไทยทุกคนมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอ เหมาะสม
3.
มิติความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย
หมุดหมายที่ 10
ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ หมุดหมายที่ 11
ไทยสามารถลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
4.
มิติปัจจัยผลักดันการพลิกโฉมประเทศ ประกอบด้วย หมุดหมายที่ 12 ไทยมีกำลังคนสมรรถนะสูง
มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต
และหมุดหมายที่ 13 ไทยมีภาครัฐที่ทันสมัย
มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ประชาชน
ทั้งนี้ ประชาชนทั่วไปสามารถแสดงความคิดเห็นต่อร่างแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 13 ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ของ สศช. ได้ทางเว็บไซต์
www.nesdc.go.th, Facebook สภาพัฒน์, Twitter สภาพัฒน์, Line สภาพัฒน์
Update, Email : plan13@nesdc.go.th และ ตู้ ปณ.49 ปทฝ.หลานหลวง
กรุงเทพฯ 10102
-------------------------
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
15 ธันวาคม 2564
|