วันนี้ (14 ธันวาคม 2564)
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
ได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณชนและภาคีการพัฒนาทุกภาคส่วน ณ
โรงแรม เคเอ็ม กว๊านพะเยา จังหวัดพะเยา โดยนางสาวจินางค์กูร โรจนนันต์
รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เป็นประธานการประชุมระดมความเห็นต่อ "ร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ.
2566-2570)" โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย
หน่วยราชการส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบันการศึกษา
ภาคธุรกิจเอกชน เครือข่ายภาคประชาสังคม และนักวิชาการ
เข้าร่วมประชุมจำนวนประมาณ 60 คน อาทิ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐในจังหวัด ประธานหอการค้ากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ผู้จัดการบริษัท
ประชารัฐรักสามัคคีจังหวัดพะเยา จำกัด ประธาน Young Smart Farmer
จังหวัดพะเยา สมาคมเครือข่ายสร้างบ้านแปงเมืองพะเยา
การจัดประชุมในครั้งนี้เป็นการนำเสนอรายละเอียดร่างแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 13 ต่อเนื่องจากเวทีที่ สศช. ได้ดำเนินการมาในช่วงเดือนมีนาคม
– เมษายน 2564 เพื่อรับฟังความเห็นต่อกรอบของแผนฯ โดย สศช.
ได้นำข้อเสนอแนะจากการระดมความเห็นทุกเวทีมาปรับปรุงกรอบของแผนฯ
ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
จากนั้นได้กำหนดเป้าหมายหลักของการพัฒนาในระยะ 5 ปีของแผน รวมทั้งสิ้น
5 เป้าหมาย และรายละเอียดหมุดหมายการพัฒนาสำคัญรวม 13 หมุดหมาย
เพื่อให้แผนฯ
สามารถตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาของประชาชนได้อย่างแท้จริง สศช.
จึงได้นำร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13
ในรายละเอียดมาระดมความเห็นร่วมกับภาคีการพัฒนาในกลุ่มจังหวัด 18
กลุ่ม และกลุ่มเฉพาะในส่วนกลาง 7 กลุ่มอีกครั้ง
จึงเป็นที่มาของการประชุมในครั้งนี้
วัตถุประสงค์ของการประชุมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับร่างแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 13 ให้กับสาธารณชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งภาครัฐและภาคีการพัฒนาต่าง ๆ
รวมถึงเปิดโอกาสให้ภาคีการพัฒนาในระดับพื้นที่/กลุ่มเฉพาะ
ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13
ทั้งในระดับภาพรวม ได้แก่ เป้าหมาย กลยุทธ์ ยุทธศาสตร์
และแนวทางหลักในร่างแผนฯ และระดับหมุดหมาย ได้แก่ เป้าหมาย ตัวชี้วัด
และกลยุทธ์ในแต่ละหมุดหมาย
ให้มีความสมบูรณ์และสอดคล้องกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
สามารถตอบสนองความต้องการของแต่ละภาคส่วนได้อย่างแท้จริง
นางสาวจินางค์กูร โรจนนันต์
รองเลขาธิการฯ นำเสนอร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 สรุปสาระสำคัญได้ว่า
แผนฯ 13 มีเป้าหมายหลักของการพัฒนาในระยะ 5 ปีของแผนรวม 5 เป้าหมาย
ได้แก่ ก(1) การปรับโครงสร้างการผลิตสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม
โดยรายได้ประชาชาติต่อหัวเพิ่มขึ้นจาก 7,050 เหรียญสหรัฐในปี 2563
เป็น 8,800 เหรียญสหรัฐในปี 2570 (2)
การพัฒนาคนสำหรับโลกยุคใหม่
โดยดัชนีการพัฒนามนุษย์เพิ่มขึ้นจาก 0.777 ในปี 2562 เป็น 0.820 ในปี
2570 (3)
การมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม
โดยความแตกต่างของความเป็นอยู่ระหว่างกลุ่มประชากรที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงสุดร้อยละ
10 และต่ำสุดร้อยละ 40 ลดลงจาก 5.66 เท่าในปี 2562 เหลือต่ำกว่า 5
เท่าในปี 2570 (4)
การเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน
โดยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมครอบคลุมสาขาพลังงานและขนส่ง
อุตสาหกรรม และการจัดการของเสีย ลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 15
จากการปล่อยในกรณีปกติ ภายในปี 2570 (5)
การเสริมสร้างความสามารถของประเทศในการรับมือกับความเสี่ยงและการเปลี่ยนแปลง
ภายใต้บริบทโลกใหม่
โดยขีดความสามารถของการปฏิบัติตามกฎอนามัยระหว่างประเทศและการเตรียมความพร้อมฉุกเฉินด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นจากร้อยละ
85 ในปี 2563 เป็นร้อยละ 90 ในปี 2570
อันดับความเสี่ยงด้านภูมิอากาศเฉลี่ย 5 ปี ลดลงจาก 36.8 ในช่วงปี
2558-2562 เป็นไม่ต่ำกว่า 40 ในช่วงปี 2566-2570
อันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลปรับตัวดีขึ้นจากอันดับที่ 39
ในปี 2563 เป็นอันดับที่ 33 ภายในปี 2570
และอันดับประสิทธิภาพของรัฐบาลปรับตัวดีขึ้นจากอันดับที่ 20 ในปี 2564
เป็นอันดับที่ 15 ในปี 2570
รองเลขาธิการฯ กล่าวต่อไปว่า
เพื่อถ่ายทอดเป้าหมายหลักไปสู่ภาพของการขับเคลื่อนที่ชัดเจนในลักษณะของวาระการพัฒนา
(Agenda)
ที่เอื้อให้เกิดการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงานและหลายภาคส่วนในการผลักดันการพัฒนาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้เกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม
จึงได้กำหนดหมุดหมายการพัฒนาของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 จำนวน 13 ประการ
โดยแบ่งเป็น 4 มิติ ได้แก่
1. มิติภาคการผลิตและบริการเป้าหมาย
ประกอบด้วย หมุดหมายที่ 1
ไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง
หมุดหมายที่ 2
ไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน
หมุดหมายที่ 3
ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก หมุดหมายที่ 4
ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง หมุดหมายที่ 5
ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค
หมุดหมายที่ 6
ไทยเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะของอาเซียน
2.
มิติโอกาสและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย
หมุดหมายที่ 7
ไทยมีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เข้มแข็ง มีศักยภาพสูง
และสามารถแข่งขันได้ หมุดหมายที่ 8
ไทยมีพื้นที่และเมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ ปลอดภัย
เติบโตได้อย่างยั่งยืน หมุดหมายที่ 9
ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลง
และคนไทยทุกคนมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอ เหมาะสม
3.
มิติความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย
หมุดหมายที่ 10
ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ หมุดหมายที่ 11
ไทยสามารถลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
4. มิติปัจจัยผลักดันการพลิกโฉมประเทศ
ประกอบด้วย หมุดหมายที่ 12
ไทยมีกำลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
ตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต และหมุดหมายที่
13 ไทยมีภาครัฐที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ
และตอบโจทย์ประชาชน
รองเลขาธิการฯ กล่าวในตอนท้ายว่า ภายหลังการระดมความเห็นในครั้งนี้
สศช. จะนำความคิดเห็น
ที่ได้จากการประชุมมาประมวลและปรับปรุงร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13
ให้มีความครบถ้วน สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
แล้วนำเสนอต่อสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
หลังจากนั้นจะเสนอร่างดังกล่าวต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
คณะรัฐมนตรี และรัฐสภา ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย
ประกาศใช้แผนฯ อย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2565 ต่อไป
สำหรับการประชุมระดมความคิดเห็นร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ณ
จังหวัดพะเยาในครั้งนี้
ผู้เข้าร่วมการประชุมได้ร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง
โดยมีประเด็นสำคัญ อาทิ
การปรับแก้ไขกฎหมายที่ช่วยหนุนเสริมให้จังหวัดพะเยาสามารถนำจุดเด่นของพื้นที่ที่ตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน
2 (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน)
มาเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการท่องเที่ยวและโลจิสติกส์
การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนของการพัฒนาการเกษตร
การส่งเสริมบทบาทของภาคประชาสังคมในการจัดสวัสดิการและบริการทางสังคมให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มในพื้นที่
การส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาที่ให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมทักษะ
EQ มากกว่า IQ
การยกระดับเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีองค์ความรู้ครอบคลุมตั้งแต่การเพาะปลูก
การแปรรูป และการตลาด
การเพิ่มมูลค่าเศษวัสดุที่เหลือจากเกษตรกรรมซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ของเกษตรกรและลดปัญหาหมอกควันที่เกิดจากการเผาเศษวัสดุจากเกษตรกรรม
รวมทั้งการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันโดยกำหนดให้เป็นนโยบายระดับชาติและระดับภูมิภาค
ทั้งนี้ ประชาชนทั่วไปสามารถแสดงความคิดเห็นต่อร่างแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 13 ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ของ สศช. ได้ทางเว็บไซต์
www.nesdc.go.th, Facebook สภาพัฒน์, Twitter สภาพัฒน์, Line สภาพัฒน์
Update, Email : plan13@nesdc.go.th และ ตู้ ปณ.49 ปทฝ.หลานหลวง
กรุงเทพฯ 10102
ภาพ/ข่าว
กองยุทธศาสตร์การพัฒนาความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางสังคม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|