สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(สศช.) จัดระดมความคิดเห็น "ร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570)” กลุ่มเฉพาะด้านผู้สูงอายุ
เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ทรงคุณวุฒิ
และภาคีการพัฒนาได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงร่างกลยุทธ์แผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 13 ก่อนประกาศใช้ในเดือนตุลาคม 2565
เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2564 นางสาวจินางค์กูร
โรจนนันต์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ให้เกียรติเป็นประธานเปิดการประชุมและกล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุมระดมความคิดเห็นต่อ
"ร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13
(พ.ศ. 2566 - 2570)” กลุ่มเฉพาะด้านผู้สูงอายุ
ซึ่งเป็นมุมมองของผู้ทรงคุณวุฒิที่มีทั้งที่เป็นผู้สูงอายุและมีบริบทการทำงานเกี่ยวกับด้านสูงอายุ
อาทิ รองศาสตราจารย์บัณฑิต ทิพากร
รองอธิการบดีอาวุโส ฝ่ายวิชาการ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุริยเดว ทรีปาตี
ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ศาสตราจารย์วรเวศม์ สุวรรณระดา
อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร. ธงชัย ชิวปรีชา
กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการบริหารโรงเรียนกำเนิดวิทย์ ดร. มารยาท สมุทรสาคร
ผู้ทรงคุณวุฒิและที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ
รวมทั้งผู้แทนจากกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมทั้งสิ้นประมาณ 30 คน
จากนั้น นางสาววรวรรณ พลิคามิน
ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน สศช. กล่าวชี้แจงว่า
การประชุมวันนี้เป็นการประชุมกลุ่มเฉพาะด้านผู้สูงอายุ
ต่อเนื่องจากการประชุมระดมความเห็นต่อกรอบแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13
เมื่อเดือนเมษายน 2564
ซึ่งต่อมาคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะกรรมการยกร่างแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 13 ที่ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องจำนวน 13 คณะ
จัดทำรายละเอียดใน 13 หมุดหมาย
และได้นำไประดมความเห็นในการประชุมประจำปี 2564 ในหัวข้อ "Mission to
Transform : 13 หมุดหมาย พลิกโฉมประเทศไทย” เมื่อเดือนกันยายน 2564
ที่ผ่านมา โดยขั้นตอนต่อไปคือการนำร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13
มาระดมความเห็นร่วมกับภาคีการพัฒนากับกลุ่มจังหวัดและกลุ่มเฉพาะอีกครั้งหนึ่งซึ่งเป็นที่มาของการประชุมในวันนี้
ทั้งนี้ ได้มีการนำเสนอวีดิทัศน์สรุปสาระสำคัญของร่างแผน
ก่อนจะนำเข้าสู่การระดมความคิดเห็น โดยแบ่งเป็น 3 ช่วง ประกอบด้วย
ช่วงแรก การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดหลัก 5 ด้าน ช่วงที่สอง 13
หมุดหมาย ภายใต้ 4 มิติการพัฒนา และช่วงที่สาม
การขับเคลื่อนแผนสู่การปฏิบัติโดยมีความเห็นที่สำคัญ อาทิ
ช่วงแรก การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดหลัก 5
ด้าน ในภาพรวมเป้าหมาย ทั้ง 5 ประการมีลักษณะเป็นรายประเด็น
(issue) ที่ขาดความเชื่อมโยงกัน และเมื่อพิจารณาเป็นรายเป้าหมาย เช่น
เป้าหมายเรื่องการพัฒนาคนสำหรับโลกยุคใหม่
โดยใช้ตัวชี้วัดดัชนีการพัฒนามนุษย์ก็จะไม่ครอบคลุมทักษะที่เป็น soft
skill เป้าหมายการมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม
โดยใช้ตัวชี้วัดความแตกต่างระหว่างกลุ่มประชากรที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงสุด
10% และต่ำสุด 40% ยังเป็นเพียงการสะท้อนความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้
ไม่ได้สะท้อนความแตกต่างของคนในหลายมิติทั้งในเรื่องช่วงวัย
หรือเชิงพื้นที่ระหว่างเมืองและชนบท และการกำหนดให้ค่าเป้าหมายลดลงจาก
5.66 เท่าในปี 2562 เป็นต่ำกว่า 5 เท่า ในปี 2570
อาจไม่ท้าทายและไม่สามารถพลิกโฉมประเทศไทยได้ เป็นต้น
ช่วงที่สอง 13 หมุดหมายภายใต้ 4
มิติการพัฒนา
มิติที่ 1
ภาคการผลิตและบริการเป้าหมาย
ควรมุ่งใช้โอกาสจากทุนทางวัฒนธรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
การยกระดับสมรรถนะของคนไทย
การสร้างขีดความสามารถและกำลังคนด้านวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากการวิจัยและนวัตกรรม
การสร้างความเข้มแข็งของชุมชนต่อการรับมือกับความเสี่ยงต่าง ๆ ในอนาคต
โดยการกำหนดรายละเอียดของกลยุทธ์ควรคำนึงถึงความเสี่ยงต่าง ๆ อาทิ
การชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน (supply chain disruption)
และการใช้มาตรการทางภาษีเพื่อสร้างความสมดุลในการจัดสรรและการใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างภาครัฐ
เอกชน และชุมชน
รวมทั้งผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจกับคนทุกกลุ่มทุกวัยด้วย
มิติที่ 2 โอกาสและความเสมอภาค ทางเศรษฐกิจ
และสังคม ควรให้ความสำคัญกับการสร้างขีดความสามารถภายใน
(intangible capacity) ตั้งแต่ระดับบุคคล ชุมชน องค์กร
และระดับประเทศให้มีความคล่องตัวและพัฒนาตัวเองได้อย่างว่องไว
(agility) เพื่อให้ทุกภาคส่วนในสังคมสามารถเอาตัวรอด (survive)
และหลบหลีกจากความเสี่ยงภัยคุกคามต่าง ๆ
ในสภาพแวดล้อมที่มีความผันผวนสูง (turbulence)
ผ่านการพัฒนาการวิจัยและนวัตกรรม
และการใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ที่สั่งสมขึ้น (collective
intelligence) ในสังคม และการสร้างระบบนิเวศที่ SMEs
สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่มูลค่า (value chain shift) นอกจากนี้
ในมิติของความเหลื่อมล้ำที่ให้ความสำคัญกับมาตรการภาษีจากฐานรายได้จะทำให้ประเทศต้องเผชิญกับข้อจำกัดอย่างมาก
เนื่องจากประเทศไทยเป็นสังคมสูงวัยและแรงงานจะมีแนวโน้มเป็นแรงงานในระบบลดลง
จึงควรต้องให้ความสำคัญจากฐานภาษีอื่น ๆ ด้วย
มิติที่ 3
ความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในภาพรวมยังเป็นไปในลักษณะการตั้งรับและลดผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากกว่าการใช้มาตรการเชิงรุกเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวและล้มและลุกได้ไว
(resilience)
และควรเพิ่มเติมกลยุทธ์ด้านการจัดการขยะติดเชื้อและขยะอันตราย
ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด
– 19
และควรกำหนดมาตรการจูงใจให้ภาคอุตสาหกรรมและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการขยะและของเสียอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
มิติที่ 4
ปัจจัยผลักดันการพลิกโฉมประเทศ
เป็นปัจจัยในการปลดล็อคการพัฒนาในหมุดหมายอื่น ๆ ทั้งหมด
โดยการพัฒนากำลังคนควรมุ่งพลิกโฉมระบบนิเวศการจัดการศึกษาที่ตอบสนองความต้องการในการพัฒนาตนเองในแต่ละช่วงชีวิต
(multi – stage of life)
มากกว่าการจัดการศึกษาแบบเดิมที่แบ่งเป็นขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา
และอุดมศึกษา
การพัฒนาระบบธนาคารหน่วยกิตที่มุ่งการสั่งสมสมรรถนะเพื่อการทำงาน(performance)
และการเรียนแบบ non – degree มากกว่าสะสมความรู้ตามระดับเพื่อให้ได้
degreeรวมทั้งภาครัฐควรสนับสนุน EdTech
เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่รุนแรงมากขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด
– 19 สำหรับการพัฒนาภาครัฐที่ทันสมัย
ควรมีการใช้ประโยชน์กำลังคนร่วมกันในทุกภาคส่วน
และใช้แนวคิดการจัดการภาครัฐแบบเครือข่าย (network governance)
เพื่อยกระดับการบริหารจัดการภาครัฐ
ทั้งนี้ ผู้ทรงคุณวุฒิส่วนใหญ่มีความเห็นว่า
การกำหนดหมุดหมายทั้ง 13 หมุดหมาย
มีความเชื่อมโยงและเป็นปัจจัยเสริมซึ่งกันและกัน ซึ่ง สศช.
อาจปรับกลยุทธ์ แนวทางการดำเนินงาน
และตัวชี้วัดให้มีความสอดคล้องเหมาะสมยิ่งขึ้น
ช่วงที่สาม
การขับเคลื่อนแผนสู่การปฏิบัติ สศช. ควรพัฒนาวิธีการถ่ายระดับ
(cascade) แผนสู่การปฏิบัติเนื่องจากหมุดหมายภายใต้แผนพัฒนาฯ ฉบับที่
13 มีลักษณะเป็นประเด็นบูรณาการ (cross cutting
issue)ซึ่งไม่สามารถขับเคลื่อนได้ภายใต้โครงสร้างการทำงานของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง
จึงจำเป็นต้องสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกระดับเกี่ยวกับแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 13 เพื่อให้การจัดทำแผนงาน/โครงการเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
และควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาคเอกชน ชุมชน
ภาคประชาสังคม และองค์กรไม่แสวงผลกำไร เพื่อลดข้อจำกัดทางการคลัง
และเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ
รวมทั้งควรมีการกำหนดเจ้าภาพหลัก/ร่วม และหน่วยงานที่เป็นตัวกระตุ้น
(influence/catalyst) ของโครงการต่าง ๆ ที่ประสบความสำเร็จ
ตลอดจนการกำหนดตัวชี้วัดในแต่ละปีที่มีความชัดเจนเพื่อให้การติดตามประเมินผลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
นางสาวจินางค์กูรฯ
กล่าวในตอนท้ายว่าในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13
ประเทศต้องเผชิญกับความท้าทายเป็นอย่างมากจากข้อจำกัดทางการเงินการคลัง
แต่ก็มีโอกาสในการพัฒนาในหลาย ๆ ด้าน อาทิ
การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่อาจช่วยลดภาระค่าใช้ภาครัฐได้
ขณะเดียวกันภาครัฐต้องเปิดโอกาสให้ภาคส่วนอื่น ๆ
และคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้
สศช. หวังว่าในห้วงระยะเวลา 5 ปี
ข้างหน้าจะเป็นการวางรากฐานให้ประเทศกลับมาเติบโตได้ในช่วงแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 14 ต่อไป ทั้งนี้
ขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านที่ได้ให้ความคิดเห็นได้อย่างครบถ้วน
สศช.
จะนำความคิดเห็นที่ได้จากการประชุมมาประมวลและปรับปรุงร่างแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 13 ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
แล้วนำเสนอต่อสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
หลังจากนั้นจะเสนอร่างดังกล่าวต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
คณะรัฐมนตรี และรัฐสภา ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย
ประกาศใช้แผนฯ อย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2565 ต่อไป
ทั้งนี้ ประชาชนทั่วไปสามารถแสดงความคิดเห็นต่อร่างแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 13 ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ของ สศช. ได้ทางเว็บไซต์
www.nesdc.go.th, Facebook สภาพัฒน์, Twitter สภาพัฒน์, Line สภาพัฒน์
Update, Email : plan13@nesdc.go.th และ ตู้ ปณ.49 ปทฝ.หลานหลวง
กรุงเทพฯ 10102
-------------------------
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
27 ธันวาคม 2564