วันนี้ (10 พฤษภาคม 2564) นายวันฉัตร
สุวรรณกิตติ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะโฆษกสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า
สศช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ขอชี้แจงข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการเบิกจ่ายและแผนการใช้งบประมาณมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ในประเด็นแผนงานเงินกู้ทางการแพทย์และสาธารณสุข ดังนี้
แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด - 19) วงเงิน 45,000 ล้านบาท
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563
นั้น ประกอบด้วย 5 วัตถุประสงค์หลัก ได้แก่ (1)
แผนงาน/โครงการเพื่อรองรับค่าใช้จ่าย ค่าเยียวยา ค่าชดเชย
และค่าเสี่ยงภัยสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข
รวมถึงผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการจัดหาผู้ชำนาญการทั้งในประเทศและต่างประเทศ (2)
เพื่อจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ยารักษาโรค
วัคซีนป้องกันโรค และห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ (3)
เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการบำบัดรักษา ป้องกัน ควบคุมโรค
รวมทั้งการวิจัยพัฒนาทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อการฟื้นฟูด้านสาธารณสุขของประเทศ
(4) เพื่อการเตรียมความพร้อมด้านสถานพยาบาล
และค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล
และค่าใช้จ่ายในการกักตัวผู้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (5) เพื่อรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน
อันเนื่องมาจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ปัจจุบันภาพรวมการอนุมัติโครงการและการเบิกจ่ายแผนงาน/โครงการด้านสาธารณสุข
(แผนงาน/โครงการกลุ่มที่ 1) ณ ข้อมูลวันที่ 5 พ.ค. 2564
มีการอนุมัติแผนงาน/โครงการดังกล่าวไปแล้ว จำนวน 42 โครงการ
วงเงินอนุมัติรวมทั้งสิ้น 25,825.8796 ล้านบาท และจากข้อมูลของรายงาน
MIS ของกรมบัญชีกลางพบว่ามีการเบิกจ่ายไปแล้วทั้งสิ้น 7,102.6471
ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 27.50
สาเหตุที่ทำให้มีการเบิกจ่ายค่อนข้างต่ำ
เป็นผลจากหน่วยงานรับผิดชอบโครงการยังอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข
อาทิ เครื่องฉายรังสี ยารักษาโรค วัคซีนป้องกันโรค
ก่อสร้างและปรับปรุงห้องปฏิบัติการทางแพทย์ อาทิ ห้องความดันลบ
(Negative pressure) cohort ward ห้องทันตกรรม
ทั้งนี้
ในส่วนของสถานะความก้าวหน้าของแผนงาน/โครงการด้านสาธารณสุข
สามารถจำแนกได้ออกเป็นทั้งหมด 4 กลุ่ม ได้แก่ (1)
กลุ่มโครงการที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณไปแล้ว
โดยจากข้อมูลปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 27.50
ของวงเงินภายใต้แผนงาน/โครงการทั้งหมด (2)
กลุ่มที่ยังไม่ถึงงวดของการเบิกจ่ายงบประมาณ (3)
กลุ่มโครงการที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการ และ (4)
กลุ่มโครงการที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดโครงการ
ดังนี้
(1)
กลุ่มโครงการที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณไปแล้ว จำนวน 11 โครงการ วงเงิน
7,102.6470 ล้านบาท (วงเงินอนุมัติ 12,976.3106 ลบ.) อาทิ
การจ่ายค่าตอบแทน/เสี่ยงภัยให้แก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
(อสม.) ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2563 - มีนาคม 2564
สำหรับภารกิจเพิ่มเติมในช่วยสถานการณ์การระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019
การเตรียมความพร้อมห้องปฏิบัติการ โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
การจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ยารักษาโรค วัคซีนป้องกันโรค
และห้องปฏิบัติการโดยกรมควบคุมโรค
การจ่ายค่าบริการสาธารณสุขภายใต้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
การสนับสนุนครุภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องช่วยหายใจและการปรับปรุงห้องความดันลบแก่สถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
(2)
กลุ่มโครงการที่ยังไม่ถึงงวดของการเบิกจ่ายงบประมาณ จำนวน 1 โครงการ
วงเงิน 1,575.4590 ล้านบาท ได้แก่
การจ่ายค่าค่าตอบแทน/เสี่ยงภัยให้แก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
(อสม.) ในช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน 2564
สำหรับภารกิจเพิ่มเติมในช่วยสถานการณ์การระบาดของโรคไวรัสโคโรนา
2019
(3)
กลุ่มโครงการที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการ จำนวน 24 โครงการ
วงเงิน 11,094.9465 ล้านบาท อาทิ
การสนับสนุนด้านการจัดซื้อครุภัณฑ์/การปรับปรุงสิ่งก่อสร้างในสถานพยาบาลทั้งสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
และนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมด้านสถานพยาบาล
โดยปัจจุบันหน่วยงานต่าง ๆ
อยู่ระหว่างการเร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จ นอกจากนี้
ยังมีโครงการที่เกี่ยวกับการวิจัย/พัฒนาน้ำยาเพื่อการตรวจโรค
การพัฒนาระบบสื่อสารสั่งการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข
(4)
กลุ่มโครงการที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดโครงการ จำนวน 6
โครงการ วงเงิน 179.1635 ล้านบาท อาทิ
โครงการจัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์/โครงการปรับปรุงห้องผู้ป่วย
ของสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร
รองเลขาธิการฯ กล่าวต่อไปว่า
ในส่วนของโครงการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ วงเงิน 3.55 แสนล้าน อนุมัติ
1.387 แสนล้าน แต่กลับเบิกจ่ายไปเพียง 7.06 หมื่นล้านบาท นั้น
ปัจจุบัน (ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2564)
มีโครงการภายใต้แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (แผนงานที่ 3)
ที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ แล้วจำนวน 232
โครงการ วงเงินรวม 138,181.4047 ล้านบาท (คงเหลือกรอบวงเงินกู้ประมาณ
216,818.5953 ล้านบาท) เบิกจ่ายแล้ว จำนวน 110 โครงการ วงเงินรวม
69,117.4811ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 49.15)
สาเหตุที่ทำให้มีการเบิกจ่ายต่ำนั้น
ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการดำเนินการตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างวัสดุและครุภัณฑ์
และความจำเป็นที่ต้องชะลอกิจกรรมที่ต้องลงพื้นที่ และฝึกอบรม
อันเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ในช่วงต้นปี 2564 ถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564
คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
ของหน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่มีผลการเบิกจ่ายต่ำกว่าร้อยละ 10 จำนวน
141 โครงการ (จาก 209 โครงการ)
พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบทั้ง 209 โครงการ
เร่งดำเนินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
โดยเร็ว
โดยกำหนดเงื่อนไขว่าหากหน่วยงานไม่สามารถลงนามผูกพันสัญญาในกิจกรรม/โครงการที่ต้องมีการจัดซื้อจัดจ้างหรือไม่มีแผนการใช้จ่ายในส่วนงบดำเนินงานที่ชัดเจนภายในวันที่
30 เมษายน 2564
เห็นควรให้ยุติการดำเนินโครงการและรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะทราบ
พร้อมทั้งส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายตามขั้นตอนของข้อ 19 และข้อ 20
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ต่อไป
ขณะนี้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการจังหวัดที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
ได้ขอยกเลิกโครงการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564
แล้ว รวม 5 จังหวัด 11 โครงการ วงเงินรวมประมาณ 64.4819 ล้านบาท
และขณะนี้กรมการจัดหางานซึ่งรับผิดชอบโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่
สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและภาคเอกชน กรอบวงเงิน 19,462.0017
ล้านบาท
อยู่ระหว่างการเสนอขอปรับลดเป้าหมายจำนวนการจ้างงานและปรับลดวงเงินของโครงการ
ซึ่ง สศช.
ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการฯ
ให้กำกับและติดตามให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินโครงการตามขั้นตอนของระเบียบที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
สำหรับการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
ได้มีการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563
พ.ศ. 2563 เพื่อกำหนดขั้นตอนการจัดทำข้อเสนอโครงการ
การพิจารณากลั่นกรอง และการอนุมัติโครงการที่ชัดเจน
โดยในขั้นการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของโครงการฯ
ที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อทำหน้าที่กลั่นกรองแผนงาน/โครงการเพื่อเสนอคณะกรรมการฯ
พิจารณา โดยได้แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคส่วนต่างๆ
เพิ่มเติมจากผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ในคณะกรรมการฯ เพื่อให้คณะกรรมการฯ
สามารถพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของโครงการที่จะใช้จ่ายจากเงินกู้ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีได้อย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ
ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้
เกิดความคุ้มค่าและสามารถแก้ไขปัญหา เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้
จากการพิจารณารายละเอียดของแผนงาน/โครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ใช้เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
จำนวน 283 โครงการ พบว่า มีพื้นที่ดำเนินโครงการกระจายอยู่ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
ได้มีการพัฒนาแอบพลิเคชั่นเพื่อรองรับการตรวจสอบและยืนยันตัวตน
เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนแบบมุ่งเป้า
ทำให้การใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เป็นไปอย่างคุ้มค่า โปร่งใส
และตรวจสอบได้
รวมทั้งจะช่วยพัฒนาความสามารถในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลให้แก่คนไทย
เพื่อรองรับการปรับตัวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดในอนาคตด้วย
สำหรับข้อสงสัยที่ว่าการระบาดใน 2 ระลอกที่ผ่านมา
รัฐบาลมีแผนใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท แต่ในระลอก 3
ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงยิ่งกว่าเดิม กลับมีแผนจะใช้งบประมาณเพียง
2.355 แสนล้านบาท
เหตุใดจึงตั้งงบประมาณปีหน้าไว้แบบถดถอยคือลดงบประมาณรายจ่ายลงจากปีก่อน
นั้น รองเลขาธิการฯ กล่าวว่า สศช. ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี
(นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) ในการเร่งพิจารณากำหนดมาตรการช่วยเหลือ
เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ในระลอกเดือนเมษายน 2564
ที่เหมาะสมเพิ่มเติมจากมาตรการบรรเทาผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ โดยเมื่อวันที่ 5
พฤษภาคม 2564
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการของข้อเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบของประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ในระลอกเดือนเมษายน 2564 ตามที่ สศช. เสนอ ประกอบด้วย
มาตรการ 2
ระยะที่จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม จนถึงเดือนธันวาคม
2564
โดยมาตรการระยะที่ 1
ที่จะเริ่มต้นดำเนินการได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2564 ประกอบด้วย
มาตรการการเงิน อาทิ มาตรการ สินเชื่อสู้ภัย COVID-19
วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท
มาตรการพักชำระหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือ SFIs โดยให้ SFIs
ขยายระยะเวลาพักชำระหนี้
โดยการพักชำระเงินต้นให้แก่ลูกหนี้ตามความสมัครใจ ออกไปจนถึงวันที่ 31
ธันวาคม 2564 มาตรการเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในระยะเร่งด่วน
ได้แก่ มาตรการลดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้า และน้ำประปาของประชาชน
และกิจการขนาดเล็กทั่วประเทศ ในช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2564
และมาตรการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา
ประชาชนที่ได้รับผลกระทบรวมประมาณ 43 ล้านคน วงเงินรวมประมาณ
85,500 ล้านบาท
ส่วนมาตรการระยะที่ 2 ในช่วงเดือนกรกฎาคม -
ธันวาคม 2564
ซึ่งคาดว่าสถานการณ์การระบาดน่าจะคลี่คลายลงจนอยู่ในระดับที่สามารถดำเนินมาตรการในระยะที่
2 ได้ โดยมาตรการระยะที่ 2
จะเป็นการดำเนินโครงการเพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายกว่า
51 ล้านคน และคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 473,000
ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการ SME ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
สามารถมีโอกาสในการขายสินค้า และบริการได้มากขึ้น กรอบวงเงินประมาณ
140,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ปัจจุบัน (ณ วันที่ 3 พฤษภาคม
2564)
คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติโครงการที่เสนอขอใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ
ตามที่คณะกรรมการฯ เสนอแล้ว จำนวน 283 โครงการ รวมกรอบวงเงินกู้
762,902.4958 ล้านบาท คงเหลือวงเงินกู้ 237,097.5042 ล้านบาท
ซึ่งยังพอเพียงสำหรับการดำเนินการตามมาตรการที่เสนอไปแล้ว
รองเลขาธิการฯ กล่าวในตอนท้ายว่า ขณะนี้ สศช.
ได้ร่วมกันหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ เพื่อพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือ
เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
รองรับสำหรับในกรณีที่รัฐบาลได้อนุมัติแผนงาน/โครงการใช้จ่ายตามพระราชกำหนดฯ
เต็มจำนวนกรอบวงเงินกู้ที่กำหนดไว้ในพระราชกำหนดฯ คือ จำนวน 1
ล้านล้านบาท ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว ทั้งนี้
หากได้ข้อยุติแล้วจะเร่งดำเนินการเสนอเรื่องดังกล่าวให้แก่คณะรัฐมนตรีต่อไป
***************************
10 พฤษภาคม 2564
|