เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2563 ศาสตราจารย์พิเศษ
ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์
เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็น ประธาน
การประชุมคณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชนในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 2/2563 ร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน
พร้อมด้วย ผู้บริหาร สศช. ที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุม 521
และเนื่องจากมีผู้เข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก จึงได้ถ่ายทอดการประชุม
ไปยังห้องประชุม 532 สศช. ด้วย
เลขาธิการฯ กล่าวว่า สศช.
ได้เชิญหารือภาครัฐและเอกชนภายใต้คณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจฯ
ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนภาคเอกชน ได้แก่ (1) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
(2) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (3) สมาคมธนาคารไทย (4)
สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (5) สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (6)
สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (7) สภาเกษตรกรแห่งชาติ (8)
สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจ มาประชุมครั้งนี้
ตามที่คณะที่ปรึกษาฯ
ได้เสนอข้อเสนอแนะและมาตรการตามมติที่ได้หารือในคราวประชุม
เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2563
ซึ่งได้แบ่งข้อเสนอและมาตราการเป็นประเด็นเฉพาะด้าน 5 กลุ่ม
ดังนี้
1.ข้อเสนอมาตรการเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
ได้แก่ (1) มาตรการด้านประกันสังคม/กองทุน/แรงงาน เช่น
ลดเงินสมทบประกันสังคมนายจ้างจาก 4% เหลือ 1% ระยะเวลา 180 วัน (2)
มาตรการด้านภาษี เช่น ให้ภาคเอกชนหักค่าใช้จ่ายได้ 3 เท่า
กรณีใช้งบประมาณเพื่อป้องกัน COVID-19 (3)
มาตรการด้านสาธารณูปโภค/ที่ดิน เช่น ขอเลื่อนการจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ
ออกไป 4 เดือน (4) มาตรการด้านการเงิน เช่น
สินเชื่อที่รัฐให้เพิ่มสภาพคล่อง ขอให้ บสย.
ค้ำประกันวงเงินกู้เพิ่มเป็น 80% (5) มาตรการด้านอื่น ๆ เช่น
ให้รัฐจัดสรรงบประมาณในการจ้างงาน ซื้อสินค้าจากผู้ผลิตในประเทศ
(Made-in-Thailand)
ซึ่งเอกชนจะได้มีการหารือในรายละเอียดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
กระทรวงแรงงานและกระทรวงมหาดไทย ต่อไป
2.ข้อเสนอมาตรการเพื่อการกลับมาเปิดธุรกิจใหม่ ได้แก่
(1) มาตรการในการปรับพฤติกรรมของประชาชน
โดยมีการกำหนดแนวทางในการปฏิบัติของประชาชนและสถานที่ให้บริการ (2)
แนวทางพิจารณาการเปิดดำเนินการธุรกิจตามความเสี่ยงของสถานประกอบการ
และพื้นที่ที่มีความเสี่ยง อาทิ
สถานประกอบการที่มีความเสี่ยงต่ำอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำ
อาจพิจารณาเปิดให้บริการได้ตามมาตรการที่กำหนด
ขณะที่สถานประกอบการที่มีความเสี่ยงสูง
และอยู่ในจังหวัดที่มีความเสี่ยงสูงจะไม่พิจารณาเปิดให้บริการ (3)
กระบวนการอนุญาตและติดตาม อาทิ การลงทะเบียนสำหรับสถานประกอบการ
การติดตามตรวจสอบโดยภาครัฐระดับท้องถิ่นและจังหวัด
การรายงานของภาคประชาชนผ่านแอพลิเคชันไลน์ (4)
การพิจารณาระยะเวลาดำเนินการ
โดยเป็นการทดลองเปิดในจังหวัดที่มีความเสี่ยงต่ำและขยายผลไปสู่จังหวัดที่มีความเสี่ยงต่ำและปานกลางต่อไป
(5) การสื่อสาร
โดยภาครัฐจัดทำแผนการสื่อสารไปสู่ประชาชนและสถานประกอบการให้รับทราบถึงข้อปฏิบัติและแนวทางในการดำเนินการ
(6) คณะทำงานร่วมในการดำเนินการ ประกอบด้วยภาคเอกชน ภาครัฐ
และภาคสังคมและวิชาการ
ซึ่งเอกชนจะได้มีการหารือในรายละเอียดกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขต่อไป
3.ข้อเสนอมาตรการเพื่อการแก้ไขปัญหาด้วยดิจิทัล (Digital
Solution) ได้แก่ (1) การควบคุม ป้องกัน และรักษา เช่น
การจัดทำฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (2) ความต่อเนื่องธุรกิจ เช่น
แก้กฎหมายเพื่อรองรับการจัด E-Gov Digital ID (3)
การจ้างงานและพัฒนาคน มาตรการสนับสนุนผู้จนการศึกษาใหม่ คนว่างงาน
และรักษาการจ้างงานในปัจจุบัน (4) ความมั่นใจตลาดเงินและทุน เช่น
การเพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจ และการช่วยเหลือ Digital Startup, SME
(5) เศรษฐกิจใหม่ เช่น Smart farming และ E-commerce (6)
โครงสร้างขันเคลื่อนยามวิกฤต เช่น
การปรับปรุงโครงสร้างการขับเคลื่อนพิเศษในสถานการณ์ฉุกเฉิน
4.ข้อเสนอมาตรการเพื่อภาคเกษตร
ประกอบด้วย
มาตรการระยะสั้น ได้แก่ (1)
การเยียวยาให้กับเกษตรกร ครัวเรือนละ 5,000 บาท ระยะเวลา 3 เดือน (2)
การพักหนี้เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับทางราชการ ระยะเวลา 1 ปี (3)
การปรับโครงสร้างหนี้และขยายเวลาชำระหนี้จากการเช่าซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร
(4) การจัดให้มีช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ (5)
การสนับสนุนและจัดระบบการขนส่งผลผลิตการเกษตร (6)
การส่งออกผ่านพรหมแดนประเทศเพื่อนบ้าน และ (7) การใช้ Big Data
ในการติดตามสถานการณ์ภาคเกษตร
มาตรการระยาว
ซึ่งจะต้องหารือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบอีกครั้ง ได้แก่ (1)
การปรับโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตรและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ผ่านกองทุนร่วมทุนเกษตรกร
50,000 ล้านบาท (2) การพัฒนานักธุรกิจเกษตรอัจฉริยะ และ (3)
การพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตผ่านกลไกการพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม
5.ข้อเสนอมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft
loan) เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคจากมาตรการสินเชื่อใหม่วงเงิน
500,000 ล้านบาท สำหรับภาคธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ (1)
สถาบันการเงินจะกระจายวงเงินให้ลูกหนี้ทุกระดับของ SMEs
ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ กระจายวงเงินครอบคลุม ทุกอุตสาหกรรม
ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และการให้วงเงิน
ไม่จำกัดเฉพาะลูกหนี้ชั้นดีของสถาบันการเงินเท่านั้น (2)
การผ่อนปรนเงื่อนไขและแนวทางการพิจารณาวงเงินสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ
(Soft Loan) ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องไปหารือกับธนาคารต่างๆ
เพื่อให้เกิดกระจายสินเชื่อเงินกู้ไปถึงผู้ประกอบการรายย่อย
โดยไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม และ (3)
การเพิ่มสัดส่วนการค้ำประกันส่วนสูญเสียจากเดิมแก่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
(บสย.)
อย่างไรก็ตามข้อเสนอทั้ง 5 กลุ่ม
มีหลายมาตรการที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานของหน่วยงานและสามารถดำเนินการได้ทันที
หลายมาตรการยังไม่ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และอีกส่วนหนึ่งเป็นมาตรการระยะยาว ดังนั้น เลขาธิการฯ
จึงได้แบ่งมาตรการเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
(1) กลุ่มมาตรการที่ทำได้ทันที เช่น
การเยียวยาเกษตรกร
การอนุญาตให้ปรับการจ้างงานเป็นรายชั่วโมงได้
(2)
กลุ่มต้องหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
ลดเงินสมทบประกันสังคมนายจ้างจาก 4% เหลือ 1% ระยะเวลา 180 วัน
การให้ภาคเอกชนหักค่าใช้จ่ายได้ 3 เท่า กรณีใช้งบประมาณเพื่อป้องกัน
COVID-19 และการขอขยายสัญญาจัดซื้อจัดจ้างกับภาครัฐออกไป 4 เดือน
จังหวัดและธุรกิจที่มีความเสี่ยงระดับต่ำถึงปานกลางจะทดลองนำร่อง
(Sandbox) เป็นต้น
(3) กลุ่มมาตรการระยะยาว เช่น
การแก้กฎหมายเพื่อรองรับการจัด E-Gov การจัดตั้ง
"กองทุนร่วมทุนเกษตรกร” 50,000 ล้านบาท
หลังจากนั้น สศช. จะนำมาตรการและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน
มาประมวลและจัดทำเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
เพื่อนำเสนอต่อท่านนายกรัฐมนตรี
ตามที่ได้มีวินิจฉัยและสั่งการต่อไป
20 เมษายน 2563
สอบถามเพิ่มเติม :
กองยุทธศาสตร์และประสานการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน
สศช.
เบอร์ติดต่อภายใน (5601
,5623)
------------------------------------
ข่าว :
กองยุทธศาสตร์และประสานการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน สศช.
เรียงเรียง/ภาพ/เผยแพร่ : ธนเทพ ปลายแก่น