ข่าวสาร
ข่าวสาร/กิจกรรม
“สภาพัฒน์” จัดประชุมประจำปี 2563 "ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด” เผยผลการพัฒนาครึ่งแผนฯ 12 พร้อมรับมือวิกฤตและชีวิตวิถีใหม่
วันที่ 21 ก.ย. 2563
วันนี้ (21 กันยายน 2563) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้จัดการประชุมประจำปี 2563 เรื่อง "ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด” ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์บอลรูม ศูนย์การประชุมอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี โดยได้รับเกียรติจากพลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมและแสดงปาฐกถาพิเศษ

การประชุมเริ่มด้วยการนำเสนอวีดิทัศน์เรื่อง "ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด” จากนั้นศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร  ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการฯ กล่าวรายงาน ความตอนหนึ่งว่า สศช. จัดการประชุมใหญ่ทางวิชาการขึ้นทุกปี เพื่อนำเสนอและรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนของสังคม ในหัวข้อที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ โดยในปีนี้ เนื่องจากเป็นระยะครึ่งทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 หรือช่วงครึ่งแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติระยะที่หนึ่ง (พ.ศ. 2561-2565) สศช. ได้ติดตามประเมินผลการพัฒนาประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการภาครัฐที่ดี โดยมีการวิเคราะห์และรายงานผลการพัฒนาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะผลการพัฒนาตามตัวชี้วัดที่สำคัญต่าง ๆ ที่กำหนดในแผนฯ 12 ให้สาธารณชนได้รับทราบ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีการพัฒนาต่าง ๆ จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงและบริหารจัดการภารกิจที่รับผิดชอบ ทั้งในส่วนกลางและระดับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ต่อมา พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดการประชุมและแสดงปาฐกถาพิเศษ หลังจากนั้น เป็นการเสวนาเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการปรับตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และประเด็นท้าทายในระยะต่อไป โดยเลขาธิการฯ นำเสนอประเด็น "ครึ่งทางแผนฯ 12 เตรียมพร้อมรับมือชีวิตวิถีใหม่” มีผู้ทรงคุณวุฒิที่ร่วมเสวนา ได้แก่ นางปิยะมาน  เตชะไพบูลย์ ประธานกิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายวิศิษฐ์  ลิ้มลือชา ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนายอุกฤษ  อุณหเลขกะ ผู้ก่อตั้งกิจการเพื่อสังคม "Ricult” 

สำหรับการประชุมในปีนี้ เนื่องด้วยการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สศช.จึงปรับรูปแบบการประชุมให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ โดยการจัดประชุมในห้องประชุมใหญ่ครึ่งวันภาคเช้าเท่านั้น และเน้นการถ่ายทอดสดผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้แก่ สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย คลื่นเอเอ็ม 891 กิโลเฮิร์ตซ์  เว็บไซต์ของ สศช. www.nesdc.go.th  Facebook Live ที่เพจ "สภาพัฒน์” และ YouTube สภาพัฒน์ เพื่อลดจำนวนผู้ร่วมงานตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ขณะเดียวกันยังสามารถเผยแพร่สาระของการประชุมให้กระจายออกไปในวงกว้าง และประชาชนที่รับชมหรือรับฟังการถ่ายทอดสด สามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นในการเสวนาได้ ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจติดตามการถ่ายทอดสดย้อนหลัง สามารถรับชมได้ทาง เพจ "สภาพัฒน์” และ YouTube สภาพัฒน์

ผลการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะครึ่งทางแผนฯ 12 
หรือช่วงครึ่งแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติระยะที่หนึ่ง (พ.ศ.2561-2565) 
ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2565) ซึ่งเป็นแผนที่วางรากฐานสำหรับการขับเคลื่อนการพัฒนาในช่วง 5 ปีแรก ของยุทธศาสตร์ชาติ โดยในระยะครึ่งทางแผนฯ 12 หรือช่วงครึ่งแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติระยะที่หนึ่ง (พ.ศ.2561-2565) นั้น ประเทศไทยได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทั้งบริบทโลกและบริบทในประเทศ ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระยะยาว และการเปลี่ยนแปลงระยะสั้นหรือการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวในหลายเรื่อง เช่น เทคโนโลยีพลิกโลก (Disruptive Technology) การก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยที่อาจส่งผลต่อการขาดแคลนแรงงานในอนาคต ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่เป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของโลก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และภัยธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลกระทบทั้งในแง่บวกและแง่ลบต่อการพัฒนาประเทศในหลายด้าน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากบริบทโลกที่มากระทบ ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาประเทศ แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและเชิงนโยบายภายในประเทศที่ส่งผลเอื้อต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไปในทิศทางที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 และยุทธศาสตร์ชาติ อย่างไรก็ตาม บางบริบทกลับเป็นความท้าทายหรือเป็นอุปสรรคที่ประเทศไทยจะต้องก้าวข้ามผ่านไปให้ได้ 

สำหรับการประเมินผลการพัฒนาประเทศในระยะครึ่งทางแผนฯ 12 หรือช่วงครึ่งแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติระยะที่หนึ่ง (พ.ศ.2561-2565) พบว่า การพัฒนาประเทศในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โลกและสถานการณ์ภายในประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม  สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี และการเมือง รัฐบาลและภาคส่วนต่าง ๆ ได้มีความพยายามในการดำเนินการเพื่อผลักดันขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามแนวทางแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ส่งผลให้การพัฒนาในบางมิติดีขึ้น แต่ยังคงมีการพัฒนาในบางด้านยังล่าช้าและไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

แนวทางการพัฒนาประเทศ ครึ่งหลังแผนฯ 12 
ชีวิตวิถีใหม่ : ประเด็นท้าทายของการพัฒนาในระยะต่อไป
จากเหตุการณ์วิกฤตการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 (COVID-19) ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วรุนแรง ส่งผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย เกิดวิถีแนวใหม่ที่ทุกคนต้องปรับวิธีการในการใช้ชีวิตแบบใหม่ ที่เรียกว่า "ชีวิตวิถีใหม่” (New Normal) จึงต้องมีการปรับแนวทางการพัฒนา โดยคำนึงถึงประเด็นสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ (1) สร้างสมดุลของมนุษย์และธรรมชาติ  (2) สร้างสมดุลของปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของมนุษย์ในสังคม และ (3) สร้างการเติบโตอย่างพอเพียง ด้วยเหตุนี้ แนวทางใหม่ของการพัฒนาประเทศช่วงหลังของแผนฯ 12 และการเชื่อมโยงไปสู่แนวทางการพัฒนาในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 จึงประกอบด้วย  (1) ปรับจุดอ่อน เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้สามารถรองรับ New Normal ลดความเหลื่อมล้ำ และเกิดความยั่งยืน และ (2) เสริมจุดแข็งเดิม สร้างจุดแข็งใหม่ เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมให้ดีขึ้น

นอกจากนี้ ผลกระทบจากสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ที่เกิดขึ้นดังกล่าว สศช. จึงจำเป็นต้องทบทวนแนวทางการพัฒนาประเทศใหม่ เพื่อนำพาประเทศให้รอดพ้นจากวิกฤตไวรัสโควิด-19 และพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงหรือวิกฤตอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต ตลอดจนตอบสนองชีวิตวิถีใหม่ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน ควรสร้างโอกาสใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ภายใต้แนวคิด "Resilience” จำเป็นต้องมีการพัฒนาความสามารถของประเทศใน 3 ด้าน ดังนี้ 
1. Cope หรือ ‘พร้อมรับ’ เป็นความสามารถในการต้านทาน เยียวยา และฟื้นสภาพจากวิกฤต 
2. Adapt หรือ ‘ปรับตัว’ ความสามารถในการปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น  
3. Transform หรือ ‘เปลี่ยนแปลงเพื่อพร้อมเติบโต’ ความสามารถในการพลิกโฉม 
หากประเทศไทยมีความสามารถทั้ง 3 ด้านจะช่วยให้เป็นประเทศที่พร้อมเผชิญสถานการณ์
การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ไม่ว่าจะรวดเร็วหรือรุนแรงเพียงใดก็ตาม และสามารถที่จะก้าวเดินต่อไปด้วย
ความระมัดระวังและรอบคอบสู่จุดหมายการพัฒนาที่เหมาะสม มีสมดุล และยั่งยืน

ปรับแผนแม่บทรับมือวิกฤตและชีวิตวิถีใหม่   
นอกจากนี้  ผลกระทบและวิถีการดำเนินชีวิตที่พลิกโฉมไปหลังสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19  ทำให้ต้องมีการทบทวนและปรับแก้ไขแผนแม่บท ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติเร็วกว่าปกติ ที่เคยกำหนดไว้ให้มีการปรับทุก ๆ 5 ปี  
การปรับแผนแม่บทในครั้งนี้ จะปรับเฉพาะในด้านที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด-19 เท่านั้น และอยู่บนพื้นฐานแนวคิด "Resilience” โดยการปรับแผนแม่บทดังกล่าวจะต้องมีความสอดคล้องกับครึ่งหลังของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 และต่อเนื่องไปยังแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ต่อไป และจะหยิบยกประเด็นสำคัญเร่งด่วนที่ต้องมีการขับเคลื่อนผลักดันหลังวิกฤตโควิด-19 มาพิจารณาจัดทำเป็นแผนแม่บทหลังสถานการณ์ โควิด-19  โดยมีการกำหนดประเด็นการพัฒนาที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ (Priority Focus Areas) ดังนี้
1. การเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศ (Local Economy) อาทิ (1) การส่งเสริมการจ้างงาน (2) การช่วยเหลือและพัฒนาศักยภาพ SMEs และ (3) การกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจไปยังเมืองหลักและเมืองรอง 
2. การยกระดับขีดความสามารถของประเทศเพื่อรองรับการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว (Future Growth) อาทิ (1) การส่งเสริมอุตสาหกรรมและบริการทางการแพทย์ครบวงจร (2) การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และเน้นคุณภาพ (3) การยกระดับภาคการเกษตรสู่เกษตรมูลค่าสูง (4) การส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหาร และ (5) การปรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
3. การพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของคน (Human Capital) ให้เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ อาทิ (1) การพัฒนาทักษะแรงงานและการเรียนรู้ (2) การขยายและพัฒนาระบบหลักประกันทางสังคม และ (3) การเสริมสร้างความมั่นคงทางสุขภาพ
4. การปรับปรุงและพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ (Enabling Factors) อาทิ (1) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ (2) การปรับปรุงกฎหมายและส่งเสริมภาครัฐดิจิทัล (3) การพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรม (4) การเสริมสร้างความมั่นคงและการบริหารจัดการความเสี่ยง และ (5) การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเครือข่ายและภาคีการพัฒนา

แผนพัฒนาฯ ตอบสนองความต้องการของคนในประเทศ
สำหรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นแผนที่สามารถตอบสนองความต้องการของคนในประเทศ และเป็นแผนที่ไม่ได้มองเฉพาะการแก้ปัญหาระยะสั้น ๆ เท่านั้น แต่มุ่งเน้นการวางรากฐานสำหรับการพัฒนาประเทศในระยะยาวด้วย  อีกทั้ง สศช. ยังได้จัดทำแผนแม่บทเฉพาะกิจหลังวิกฤตการณ์โควิดขึ้น รวมทั้งปรับจุดเน้นของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอีก 23 ฉบับ  ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในระยะต่อไปหลังจากนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติน่าจะมีความพร้อมมากขึ้น

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2565) เป็นแผนที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของหน่วยงานและภาคีการพัฒนาต่าง ๆ  โดยในกระบวนการจัดทำแผนฯ  สศช. ได้เปิดโอกาสให้ภาคีต่าง ๆ ในระดับกลุ่มอาชีพ ระดับภาค และระดับประเทศ เข้ามามีส่วนร่วมในการตั้งแต่ริเริ่มค้นหาปัญหาจนถึงการกำหนดวิสัยทัศน์และทิศทางการพัฒนา ทำให้แผนพัฒนาฉบับนี้ครอบคลุมยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นในด้านเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการที่ดี อีกทั้งยังสนับสนุนให้ภาคส่วนต่าง ๆ มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนแผนฯ ตลอดจนติดตามและประเมินผลแผนฯ ด้วย ดังนั้นแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 จึงสามารถตอบสนองความต้องการของภาคีการพัฒนาทุกภาคส่วนและช่วยวางรากฐานการพัฒนาประเทศไปสู่ความอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันได้อย่างเป็นรูปธรรม

แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 เป็นก้าวแรกของการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี 
ซึ่งเป็นกรอบการพัฒนาประเทศในระยะยาว  ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2561 และสิ้นสุดในปี 2580 กำหนดเป้าหมายการพัฒนาในระยะที่มุ่งนำพาประเทศไทยให้หลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลางให้เร็วที่สุด และในอีก 20 ปี เราต้องเป็นประเทศที่มีรายได้ที่มั่นคง เพียงพอต่อความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งการกำหนดยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 จะเชื่อมโยงกับเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติข้างต้น เป็นการพัฒนาในระยะ 5 ปีแรกที่จะช่วยวางรากฐานและขับเคลื่อนประเด็นการพัฒนาสำคัญ
ในระยะแรกของแนวทางตามยุทธศาสตร์ชาติ  

ทั้งนี้ สศช. จะเริ่มกระบวนการวางกรอบแนวคิดและทิศทางการพัฒนาในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13  ซึ่งจะดำเนินการขับเคลื่อนหลายประเด็นที่ต่อเนื่องจากแผนฯ 12  มีกรอบแนวคิด "ล้มแล้ว ลุกไว” ในการกำหนดทิศทางและแนวทางการพัฒนา  และที่สำคัญแนวทางต่าง ๆ ที่จะกำหนดในแผนฯ 13 จะต้องสอดคล้องกับการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อให้การพัฒนาประเทศเดินหน้าต่อไปจนบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีได้ในที่สุด ดังนั้น การนำเสนอผลการพัฒนาที่ผ่านมา และการระดมความเห็นร่วมกันเกี่ยวกับประเด็นท้าทายและแนวทางการปรับตัวของประเทศไทยเพื่อก้าวสู่ "ชีวิตวิถีใหม่” หรือ "New Normal” ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถฟันฝ่าวิกฤตนี้ไปได้ด้วยดี

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 962 ถนนกรุงเกษม แขวงวัดโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ 10100
โทรศัพท์ : 02-2804085 (40 คู่สาย) แฟกซ์ : 0-2281-3938 E-mail : pr@nesdc.go.th , webmaster@nesdc.go.th
นโยบายเว็บไซต์ | นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล | นโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของเว็บไซต์